วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เล่มที่ 9 ตอนที่ 10 หว่านเมล็ด (Planted Seeds)

เล่มที่ 9 ตอนที่ 10 หว่านเมล็ด (Planted Seeds)

(เนื้อหาในตอนนี้นั้น ครึ่งแรกแปลโดยคุณ FeoNesS, ส่วนครึ่งหลังแปลโดยคุณ ออน ครับ)
ฟวับ!  ฟวับ!  ฟวับ!...
            ภายใต้น้ำตกอันงดงาม  มีเหล่าบุรุษ  5  คนกำลังกวัดแกว่งดาบของพวกเขาอยู่อย่างขะมักเขม้น
              “14,930,641”
              “14,930,642”
              “14,930,643”
                ทุกครั้งที่ดาบฟาดฟันลงไป  พวกเขาจะตะโกนนับจำนวนครั้งที่มหาศาลจนน่าตกใจ
                เขาเหล่านี้คือ นักดาบ
                นักดาบ , นักดาบ2 , นักดาบ3 , นักดาบ4  และนักดาบ5!
                หลังจากแยกจากพวกเพลและคนอื่น ๆ แล้ว  พวกเขามุ่งลึกเข้ามาในภูเขายุโรกิเพื่อฝึกวิชาดาบ
                นักดาบ3เหวี่ยงดาบของเขาอย่างมีความสุข
                “ชายผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นโปรดปรานในโลกใบนี้  ชายผู้แข็งแกร่งไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหรือทนทุกข์ต่อสิ่งใด”
                ในโลกความเป็นจริง  พวกเขาหาใช่คนเจ้าชู้ไม่  ทว่าผู้หญิงในวัยเดียวกันต่างก็กลัวพวกเขากันหมดจนไม่มีใครเหลียวแล  แม้กระทั่งแม่และน้องสาวของพวกเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
                ทุก ๆ วัน  เขาฝึกฝนวิชาดาบอย่างจริงจัง
                “แม่ครับ  ช่วยทำอะไรให้ผมกินหน่อยได้ไหมครับ”
                นักดาบ3 ร้องถามขณะที่เดินเข้าบ้าน  เขากำลังหิวมาก
                “โอ้...ได้สิจ้ะ  ด...เดี๋ยวแม่จะทำให้  รอหน่อยนะ”
                อย่างไรก็ตาม  ระหว่างที่ทำอาหาร  แม่ของเขาตัวสั่นด้วยความกลัว
                ในการร่ำเรียนวิชาวิชาดาบ  นอกจากการฝึกฝนร่างกายและจิตใจ  เขายังถูกเสี้ยมสอนให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างเที่ยงธรรม  เขาไม่เคยทำอะไรร้าย ๆ กับคนในครอบครัวสักครั้ง  แต่ด้วยหน้าตาและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากการฝึกดาบของเขาก็มากพอที่จะทำให้ แม่ของเขาขวัญผวาได้แล้ว  
                หากนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
                ในวันหนึ่งเขาได้กระพรวดกระพราดตะโกนขึ้นว่า
                “ผมหิว!”
                กรี๊ดดดดดด!
                เพล้ง!
                แม่ของเขาทำชามในมือหล่นแตกพร้อมกรีดร้องออกมา
                ถึงท่านจะรักพวกลูก ๆ  แต่เธอก็อดจะหวาดกลัวลูกของเธอที่ดูน่ากลัวขึ้นทุกวันไม่ได้
                ด้วยเหตุนั้นนักดาบ3 จึงเริ่มคิดที่จะทิ้งเส้นทางนักดาบแล้วนั่งลงคุยกับพ่อของเขา
                “พ่อ”
                “หืม?  ลูกมีอะไรจะพูดงั้นเหรอ”
                “พ่อจะฟังผมใช่ไหม?”
                “ทำไมลูกดูจริงจังนัก?  เอาเถอะว่ามาสิ  พ่อจะฟัง...”
                “ผมว่าผมจะเลิกเรียนดาบแล้วหันมาทำงานกับพ่อ”
“*พรวด* ลูกบอกว่าลูกอยากจะเป็นอย่างพ่องั้นเหรอ”
                พ่อของนักดาบ3 ประกอบกิจการโรงสีข้าว
                ร้านค้าได้รับการสั่งซื้อจำนวนมากจากทางอินเทอร์เน็ต  รวมไปถึงซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่  พวกเขาต้องจ้างคนงานหลายคนเพื่อดูแลคลังสินค้า  ตามการประเมินของนักดาบ3 ธุรกิจของครอบครัวของเขากำลังไปได้ดี
แต่พ่อของเขากลับส่ายศีรษะ
                “นั่นไม่ถูกนะ  ลูกควรจะทำสิ่งที่ลูกอยากทำสิ...การเรียนดาบ  ลูกรู้สึกยังไงกับมันล่ะถึงได้ร่ำเรียนมันมาตั้งเป็น  10  ปี”
                “...”
                บาดแผลทางใจในวัยเด็กของนักดาบไม่ได้จบลงที่ตรงนี้  การมองตัวเขาเองในกระจกหลังการล้างหน้าเป็นเรื่องที่แย่สำหรับเขา  ครอบครัวของเขาเองก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะทำร้ายจิตใจของเขา
                นักดาบ4 ก็ไม่ต่างกันเลย
                ในสมัยมัธยมต้น  เขาได้เดินผ่านไปยังซอยแห่งหนึ่ง
                “เฮ้!  แกน่ะมานี่สิ”
                แล้วเขาก็ถูกเรียกโดยพวกอันธพาลจากพื้นที่ใกล้เคียง  คนพวกนั้นเป็นสมาชิกของแก๊งในมัธยมปลาย  แต่ละคนทั้งสูบบุหรี่ทั้งเคี้ยวหมากฝรั่ง  วางมาดโหดกันเต็มที่
                นักดาบ4 ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ  และมองเขาไปตรง ๆ ด้วยสายตาปกติ
                “ผมขอโทษครับ!”
                “ผมผิดไปแล้ว!”
                “ไว้ชีวิตผมเถอะ...!”
                แค่นั้นพวกอันธพาลรีบเอาบุหรี่ออกจากปาก  ทำหน้าสยองขวัญแล้วขอขมาเขาโพย ๆ
                ...เกิดเป็นข่าวลือแพร่กระจายออกไปว่านักดาบ4 เป็นโคตรหัวโจกอันธพาลที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วยในวัยเด็กของเขา
                นักดาบ5 ก็มีเรื่องราวของเขาเช่นกัน
                บัตรประจำตัวประชาชนออกมาไม่นานก่อนที่เขาจะเป็นนักเรียนมัธยมปลายปี  2  และรัฐบาลได้เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างขนาดใหญ่  เข้าจัดการแก๊งและเหล่าสมาชิกทั้งหลายแหล่
                ด้วยใบหน้าถทึงที่ดูคุกคามของเขา  ระหว่างที่กำลังเดินอยู่บนถนนในเมืองเขาก็ถูกจับกุมและลากไปที่สถานีตำรวจ  แน่นอนมันเป็นสถานการณ์ที่เขาสมควรจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง  แต่เขาต้องห้ามตัวเองไว้ก่อน  เพราะส่วนใหญ่ในหมู่นักเลงหลาย ๆ คนซึ่งถูกลากมาที่สถานีตำรวจต่างก็เป็นคนที่โดนนักดาบ5 ซัดแล้วแล้วมาทั้งนั้น!
                เหล่านักดาบ  ผู้เก็บซ่อนประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดไว้  พบความหวังใน รอยัลโรด
                นักดาบ2 เอ่ยขึ้น
                “ที่นี่เป็นดั่งสรวงสรรค์ของพวกเรา”
                “ถูกต้องแล้ว พี่ชาย”
                “ถ้าเราเพิ่มระดับเลเวลของพวกเราแล้ว  เราจะสามารถไปพบสาว ๆ ได้”
                นักดาบ3 และนักดาบ4 กล่าวออกมาเสียงดัง
                มีบุรุษเพศที่ไร้คู่ควงอยู่เป็นจำนวนมากในยุคสมัยใหม่นี้  สำหรับเหล่าชายที่ไม่เคยได้เดทกับใครเลยแม้แต่ครั้งเดียวเหล่านี้  ‘อิสตรี’ คือปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างด่วนจี๋!
                ผู้หญิงที่พวกเขารู้จักมีเพียงแม่และคนในครอบครัว  พวกเขาเป็นเพียงคนซื่อ(บื้อ)ที่ไม่เคยแม้แต่จูบกับผู้หญิงทั้ง ๆ ที่อายุก็ปานนี้แล้ว
                นัยน์ตาของนักดาบ3 ทอประกาย
                “เราต้องอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่มี  เราไม่มีเวลามาทำตัวเกียจคร้าน”
                “ได้เลย  ข้าเข้าใจแล้ว”
                เหล่านักดาบเดินหน้าฝึกฝนลึกเข้าไปในภูเขาและหุบเขา  พวกเขาไล่ล่ามอนสเตอร์เพื่อเพิ่มเลเวล  ยึดถือในคำแนะนำของวีดเข้าไว้
                “พวกคุณต้องกัดฟันมุมานะเข้าไว้”
                เป็นคำแนะนำที่ง่ายมาก
                นักดาบ2 เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาถามเป็นการส่วนตัว  ถึงการถามกับศิษย์ที่มีอายุน้อยกว่าตนมากนั้นจะเป็นการทำร้ายความภาคภูมิใจ ของเขา  แต่เพื่อความปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ในอกของเขามันสำคัญยิ่งกว่า
                ...ความหวังที่ชายโสดแก่ ๆ จะได้แต่งงานในเร็ววัน!
                “มีวิธีเพิ่มเลเวลและชื่อเสียงของเราเร็ว ๆ บ้างไหม?”
                “อืม  ถ้านี่คือสิ่งที่คุณต้องการล่ะก็ ไม่มีวิธีอื่นนอกจากการพยายามหนัก  คุณต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่น”
                “เราจะพยายามทำอะไรดีล่ะ?  ถ้าเป็นการล่ามอนสเตอร์ล่ะก็พวกเรามั่นใจว่าทำได้”
                การต่อสู้เป็นธรรมชาติของนักดาบ2 พอ ๆ กับการนอนหลับและทานอาหาร
                มอนสเตอร์ในรอยัลโรดมีรูปแบบการโจมตีของมัน  หมาป่าชอบโจมตีใส่ซึ่ง ๆ หน้า  และพวกโจรชอบใช้มีดสั้นอาบยาพิษ  ในกรณีมอนสเตอร์ที่ใช้ขวานเป็นอาวุธ  สิ่งที่ต้องระวังคือการโจมตีที่รวดเร็วไม่ซับซ้อน  เพราะเหล่านักดาบกะจังหวะการออกอาวุธของพวกเขาและศัตรูได้  พวกเขาจึงสามารถล่าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง
                วีดเคยบอกความลับของเขา
                “คุณต้องตั้งใจและมุมานะไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก  ในกรณีของท่านอาจารย์และผู้ฝึกสอนทุกท่าน  พวกคุณสามารถเพิ่มพลังป้องกันอย่างแน่นอนได้ด้วยการสวมอุปกรณ์ป้องกันที่ดี กว่านี้”
                นักดาบ2 พยักหน้า  พอใส่ไอเทมป้องกันแล้ว  ความเสียหายที่ได้รับจากการโจมตีของมอนสเตอร์ลดลงไปมากทีเดียว
                “จริงของเธอ  สวมเกราะดีกว่าจริง ๆ ”
                “เพราะเกราะมันหนักก็เลยมีผลถ่วงให้การเคลื่อนไหวช้าลงเป็นแลกเปลี่ยนเพื่อพลังป้องกันที่สูงขึ้น  อีกอย่างที่ผมจะบอกก็คือถ้าคุณลองรับการโจมตีดูสักหน่อย  ยิ่งหลาย ๆ ครั้งยิ่งดี  ค่าความอดทนกับจิตวิญญาณนักสู้ของคุณจะเพิ่มขึ้นครับ  มันจะช่วยคุณได้ในระยะยาว  แต่วิธีนี้มันเจ็บนิดหนึ่งนะครับ”
                “ให้รับการโจมตีหลาย ๆ ครั้งงั้นเหรอ  ถ้าคิดจะบรรลุแก่นแท้แห่งดาบ  ก็เป็นประสบการณ์ที่ทุกคนต้องเจออยู่แล้ว ...มีอะไรอีกไหม”
                “ด้วยวิธีนี้คุณจะปิดจุดอ่อนของคุณได้ก็จริง  แต่ถ้าคิดจะเพิ่มระดับให้ได้เร็ว ๆ คุณต้องสร้างความเสียหายให้ได้สูง ๆ ครับ”
                “อืม  มันก็จริง  ถ้าจะล่าเร็ว ๆ ล่ะก็ต้องสร้างความเสียหายให้ได้รุนแรงเข้าไว้  แล้วเธอมีวิธีอะไรพอจะแนะนำฉันบ้างไหม?”
                “คุณต้องยกระดับสกิลดาบของคุณ...”
                ความสำคัญของสกิลในเกมรอยัลโรดนั้นไม่ค่อยได้ถูกให้ความสำคัญนัก  ขนาดกับผู้เล่นระดับสูงสุด  บาร์ดเรย์  ระดับสกิลดาบของเขาก็ยังอยู่เพียงแค่ที่ ชั้นสูง  ระดับ  4  เท่านั้น  
                ทั้งนี้อาจมีเหตุผลมาจากหลาย ๆ อย่าง  อาทิเช่น  หัวหน้าปาร์ตี้ขนาดใหญ่ที่ไล่ล่ามอนสเตอร์จนได้รับค่าประสบการณ์เป็นจำนวนมาก  ทว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสที่จะได้กวัดแกว่งดาบมากพอเพราะได้รับการสนับสนุนที่ดีกว่าวิชาดาบพื้นฐานจากคนอื่น ๆ ในปาร์ตี้แล้ว  ท้ายที่สุดความชำนาญในวิชาดาบก็เลยต่ำกันอย่างที่เห็น
                ...ทั้งนี้ศิลปะการใช้ดาบนั้นเป็นพื้นฐานของการต่อสู้
                ระดับของสกิลดาบมีผลต่อพลังโจมตีเป็นอย่างมาก
                เป้าหมายของเหล่านักดาบมีเพียงหนึ่งเดียว  คือการบรรลุแก่นแท้แห่งดาบ
                และปูเส้นทางไว้ให้เหล่านักดาบรุ่นต่อไป
                จุดหมายคือการท้าทายสิ่งที่คาดไม่ถึง
                แผนการก็ง่าย ๆ  ฝึกฝนวิชาดาบต่อไปแล้วระดับสกิลดาบของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นเอง
                ด้วยการออกล่าแต่มอนสเตอร์ที่มีระดับเท่ากันหรือมากกว่าตัวเองอยู่เสมอ  หลังจากที่เรียนรู้วิชาดาบแล้วความเสียหายที่ทำได้ระหว่างการล่าก็เพิ่มมาก ขึ้น  เลเวลจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
                ...ด้วยวิธีนี้  แม้วีดจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพัฒนาสกิลสายผลิตต่าง ๆ  เขาก็ยังไม่ล้าหลังคนอื่น
                วีดให้คำแนะนำนี้แก่พวกเขา  ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความลับหรืออะไร  ถ้าลองได้เล่นรอยัลโรดไปนาน ๆ แล้วใครก็รู้  ทว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะทำตามคำแนะนำนี้ได้
                ผู้เล่นที่เขามาเล่นเกมรอยัลโรดส่วนใหญ่  พวกเขาก็แค่เล่นไปเพื่อความสนุกอย่างเดียว  มีคนน้อยกว่า  10%  เท่านั้นที่ออกล่ากันอย่างจริงจัง  แต่จำนวนต่ำ  10%  นี่ก็ใช่ว่าจะละเลยได้  เพราะปริมาณความพยายามของคน 10% นี้ใหญ่หลวงนัก
                จะมีสักกี่คนที่สามารถกวัดแกว่งดาบต่อเนื่องถึง  18  ชั่วโมงได้  จะมีกี่คนกันที่สามารถทำแบบนั้นได้ถึง  1  เดือน, 2  เดือน, หรือ  3  เดือน?
                คนส่วนใหญ่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก
                แต่กับเหล่านักดาบ  พวกเขาทำได้
                “พอเรามาทำเรื่องที่ทำกันบ่อยที่สุดแบบนี้แล้ว  มันไม่รู้สึกสนุกเอาเสียเลย”
                “ตั้งแต่อายุ  7  ขวบถึง  35  ปี  ข้าจับดาบไม่เคยเว้นว่างสักวัน”
                ในช่วงที่พวกนักดาบอยู่กันที่แถว ๆ น้ำตกแห่งพฤกษา  มีบางครั้งที่พวกมอนสเตอร์ปรากฏตัวออกมา  พวกเขาจึงได้ตวัดดาบในมือออกไป  กำจัดพวกมันทิ้ง  และนั่นทำให้พวกเขาก้าวเข้าสู่การเป็นสัตว์ร้ายที่แท้จริง
                ขณะที่ฝึกดาบ  บางครั้งนักดาบ3 จะรู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามจากท่านอาจารย์
                ดาบ!
                เขาเป็นผู้เรียนที่กระตือรือร้นที่สุดเมื่อได้จับดาบ  แต่พอมีคนอื่น ๆ จ้องมาที่เขาแล้ว  เขาจะเขิน
                “รอยัลโรดไม่มีกฎจำกัดอะไรคนแก่ใช่ไหม?  พวกเรายังไม่ได้แต่งงานเลย...”

            วีดออกล่าทั้งกลางวันและกลางคืน
            เพราะผลของรูปปั้น ‘คู่รักที่อบอุ่น’  ความหนาวจึงไม่ใช่อุปสรรคของพวกเขาอีกต่อไป  พวกเขาสามารถเร่งความเร็วในการล่าขึ้นได้อีก
            หลังจากการต่อสู้กับพวกไอซ์โทรลน้ำแข็ง  ลาเมีย  และมอนสเตอร์ตัวอื่น ๆ บนหน้าผา  เวลาก็ผ่านมาได้สี่วันแล้ว  เพราะพวกพรีสแห่งไดบาเซ่ (Dibase priest) สูญเสียกองกำลังไปกว่าครึ่งด้วยฝีมือของเดธไนท์และเหล่าแวมไพร์  สถานการณ์ในยามนี้การคุกคามของเหล่ามอนสเตอร์จึงลดลงมาก  และเป็นทีที่เขาจะได้เริ่มทำเควสระดับ  A  อีกเควสที่ได้รับมาเสียที
                “พวกมอนสเตอร์ที่จะมาทำลายพืชพันธุ์สมุนไพรลดลงแล้ว”
                ในช่วงใกล้รุ่ง  วีดปีนลงมายังหุบเขามรณะเพื่อปลูกสมุนไพร
                “ตรวจสอบ!”

เมล็ดพันธุ์พืชเอล์ฟ ความทนทาน 1/1 เมล็ดพันธุ์แห่งมวลหมู่ดอกไม้ ต้นไม้ สมุนไพร และพฤกษานานาพันธุ์
แม้จะหาได้ยากแต่เมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่ดี
เนื่องจากได้รับพรจากเหล่าเอล์ฟมันจึงสามารถปลูกได้ทุกที่  กระนั้นก็จะเจริญเติบโตได้รวดเร็วกว่าหากปลูกในที่ที่อุดทสมบูรณ์
จำนวน : 100,000 เมล็ด
               
             มีเมล็ดพันธุ์นับแสนที่แตกต่างกันออกไป
                วีดชักมีดแกะสลักของซาฮับออกมาแล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปมองท้องฟ้า  หมู่ดาราเหลือคณานับล่องลอยส่องแสงระยิบระยับอยู่บนนั้น  เขาสัมผัสได้ถึงอากาศที่บริสุทธิ์และสายลมเย็นฉ่ำ
                ...วันนี้เป็นวันที่อากาศอบอุ่นมากสำหรับในเขตเหนือ
                “สภาพอากาศตอนนี้กำลังเหมาะแก่การปลูกพืชพอดีเลย”
                วีดนั่งลงบนพื้นแล้วเริ่มขุดหลุดด้วยมีดของเขา  เขาใช้มีดแกะสลักซาฮับต่างเกรียง  เจาะน้ำแข็งลงไป   ขุดดินขึ้นมา  ตามด้วยหยอดเมล็ดพันธุ์ลงไปปลูก
“โตขึ้นมาดี ๆ นะ”
เขาแบ่งเมล็ดพันธุ์ออกตามสมควร  และใช้การวิธีการปลูกตามขนาดของพวกมัน  สำหรับเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่  เขาจะปลูกมันให้ห่าง ๆ กันไว้  ส่วนสำหรับเมล็ดพันธุ์ขนาดเล็ก  เขาจะปลูกมันติด ๆ กันอย่างระมัดระวัง
                ...ในอดีต  เขาเคยมีประสบการณ์ดูแลสวนเล็ก ๆ มาก่อน
                ซึ่งจะให้พูดตามจริง  เขาไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการว่าตัวเองจะไปซื้อส่วนผสมมาทำอาหาร  ผักกาดหอม  ถั่ว  พวกนี้เป็นผักที่ปลูกในสนามเล็ก ๆ แล้วนำมาทานได้
                การดูแลพืชเหล่านี้ทำได้ง่ายมาก  เมื่อพวกมันแตกหน่อแล้วก็จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว  หากนำผักเหล่านี้มาปรุงผสมด้วยข้าวและพริกไทยดำก็จะสร้างอาหารจานที่ยอด เยี่ยมได้  เงินหมื่นวอนจะได้ไม่ต้องปลิวไปไกลถึงที่ร้านอาหาร  ใช้วิธีนี้ได้ผลดีกว่ากันเยอะ
แม้แต่แอ๊ปเปิ้ลก็ยังมีปลูกไว้ 2 ต้น เพื่อให้เก็บผลมากินได้ ด้วยประสบการณ์เช่นนี้ การปลูกเมล็ดพืชเหล่านี้ก็เป็นงานง่าย ๆ
สำหรับผู้มีความอดทน และคุ้นเคยกับการใช้แรงงานอย่างหนักเท่านั้น!
 วีดปลูกเมล็ดพันธุ์จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง  หลังจากนั้น  1  ชั่วโมงเขาก็ชักกังวลว่าต้นอ่อนของเมล็ดพันธุ์จะไม่งอกขึ้นมา  แต่เมล็ดพันธุ์ก็ดูดซับสารอาหารโดยรอบ  งอกขึ้นมา  และเจริญเติบโตด้วยความเร็วสูง
                1  วัน  ,2  วัน  ,3  วัน
                เวลาผ่านไป  มอนสเตอร์ในหุบเขามรณะถูกลดจำนวนลงเรื่อย ๆ  พื้นที่ที่ถูกปลูกเมล็ดพันธุ์พืชเอลฟ์เพิ่มขึ้นทีละน้อย  พืชสิเขียวจำนวนมากเจริญเติบโตขึ้นเต็มไปหมดจนน่าสับสน  อย่างกับดงวัชพืชที่มีเกลื่อนกลาด  เมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่งอกขึ้นเป็นดอกไม้นานาพันธุ์  อีกส่วนหนึ่งเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้
                วีดไล่สู้กับพวกมอนสเตอร์ไประหว่างที่รอให้พืชพันธุ์และเหล่าต้นไม้เติบโต
                จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องกำจัดมอนสเตอร์ทุกตัวก็ได้  แต่เพื่อความชัวร์ว่าจะไม่มีอะไรบ้าตัวไหนโผล่มาเหยียบย่ำพืชพันธุ์ที่เขาอุตส่าห์ลงแรงปลูก  เขาจะเจี๋ยนพวกมันทิ้งให้เรียบ
                ซึ่งเขาเลือกที่จะปลูกพืชพันธุ์ไว้แถว ๆ ที่พวกแวมไพร์  เดธไนท์  ปิงหลง  และไวเวิร์นคอยปกป้องอยู่  พวกนั้นจะออกได้มาปกป้องเหล่าพืชพันธุ์ไว้ได้  และในเวลาเช่นนี้การช่วยเหลือของอัลเวรอนถือเป็นสิ่งที่ยอดยิ่ง
                อัลเวรอนปลูกเมล็ดลงไปในหลุมอย่างระมัดระวัง
                “ท่านวีด”
                “ครับ?”
                “ท่านเทพธิดาเฟรย่าทรงโปรดปรานการถือกำเนิดใหม่ของเหล่าสรรพชีวิต  ท่านจะคิดอย่างไรหากข้าจะขอสวดภาวนาเพื่อผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์”
                เทพธิดาเฟรย่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์  ถ้าอัลเวรอนช่วยสวดภาวนาให้จะมีผลช่วยเพิ่มผลผลิตของพืชให้ถึง  2  หรือ  3  เท่า!
                “เพื่อให้พืชพันธุ์เหล่านี้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว  โปรดทำไปเถอะครับ”
                “ครับ  ...ท่านเทพธิดาเฟรย่าผู้ทรงเมตตา  โปรดประทานอำนาจแห่งผืนปฐพีมาเกื้อกูลเหล่าพณาพืชผลนี้ด้วยเทอญ”
                พวกต้นไม้เริ่มโตเร็วขึ้นหลังจากที่อัลเวรอนได้สวดภาวนาไป  เมื่อแสงอาทิตย์ต้องกระทบลงมา  พวกมันจะดูดซึมสารอาหารโดยรอบและเติบโตอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง  ผสานกับพรของเหล่าเอล์ฟ  ความเร็วเท่านี้ถือว่าเป็นไปได้  ไม่นานบนต้นไม้ก็มีผลไม้จำนวนมากมาออกผลมาเต็มต้น  มีทั้งผลไม้ที่คล้ายกับแอปเปิ้ล  องุ่น  ลูกพีช  ลูกพลัม  ผลแบงค์ ผลวอลนัท  ลูกโอ๊ก  และลูกเกาลัด
                เหล่าต้นไม้ช่างออกผลมาได้หลากหลายชนิดยิ่ง
                ไหนจะยังมีข้าวสาลีและเมล็ดข้าวให้วีดเก็บเกี่ยวอีก
                “ในที่สุดก็ถึงเวลากิน”
                วีดรวบรวมผลไม้มา
                ลูกแอปเปิ้ลน้ำแข็ง  ลูกพีชน้ำแข็ง!
                หลังจากการแกะสลักงานประติมากรรมอย่างหนัก  ผลไม้ในช่วงเวลาพักนี่อร่อยอย่าบอกใคร
                วีดขุดมันฝรั่ง  มันฝรั่งหวาน  ยันสมุนไพรที่ใช้รักษาขึ้นมา
                สมุนไพรสีแดงช่วยรักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้น  และที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดคือสมุนไพรสีเหลืองซึ่งช่วยฟื้นคืนค่าความแข็งแรง (Stamina)
                “สลัดผลไม้!  ชาลูกพลัมกับขนมปังใช้ปรุงกับลูกเกาหลัดได้”
                ในฐานะพ่อครัว  วีดรังสรรค์อาหารได้หลายชนิด  ของหวานสามารถช่วยเพิ่มค่าสถานะได้มากขึ้นไปอีกเมื่อรับประทาน  และเนื่องจากต้นไม้ช่วยป้องกันลมหนาวจับจิตของเขตเหนือให้  บริเวณนี้จึงทำอะไรได้สะดวกขึ้นเยอะ
                ความปรารถนาของวีดคือการวิ่งไปบนแผ่นดินของหุบเขามรณะพร้อมกับเหล่าดอกไม้และหมู่พฤกษา  พืชพันธุ์ต่าง ๆ เติบโตขึ้นในเขตชายแดนของเขตมอนสเตอร์  พวกมันไม่สามารถเติบโตได้ในเขตที่ไม่ได้รับการจัดการให้  ที่ใดก็ตามที่มีสายลมอันหนาวเหน็บและเชี่ยวกราดของหุบเขามรณะโบกพัด  ที่นั่นจะไร้ซึ่งเงาของต้นพฤกษา
                “มีบางอย่างอยู่ที่นี่”
                วีดมองลงไปยังหุบเขามรณะจากบนหน้าผา
                ...ตรงแถบบริเวณนี้ถูกกั้นขวางไว้ด้วยน้ำแข็ง
                ภายในส่วนลึกสุดของหุบเขามรณะ  สายลมหนาวแสนดุร้ายกำลังพัดโหมกระหน่ำ...
                ตัวเขาที่ขึ้นมาอยู่บนผาสัมผัสได้ถึงสายลมซึ่งหนาวที่สุดที่พัดขึ้นมาสู่บน ท้องฟ้า  แม้จะมีผลเอฟเฟ็คท์ของอาหารอุ่น ๆ ที่กินเข้าไปกับรูปสลักช่วยบรรเทา  หากมันก็ยังเย็นสะท้านจับใจ
                “เพื่อสำเร็จเควส  เราต้องเดินทางเข้าไปข้างใน”
                วีดไม่สามารถเดินไต่ไปตามหน้าผาได้  จึงต้องลงมาที่ด้านหน้าของหุบเขามรณะ  1  ในเควสทั้ง  2  ที่เขาได้รับมาคือการตรวจสอบสายลมที่พัดมาใส่พฤกษาในหุบเขามรณะจนลู่ลมนั่น  เขาต้องเข้าไปข้างใน
                “ปัญหาก็คือมอนสเตอร์นี่ล่ะนะ...”
                มอนสเตอร์เจ้าถิ่นของหุบเขามรณะ!
                พวกมันมีเลเวลอยู่ที่ช่วง  300  กลาง ๆ  และเรื่องต่าง ๆ มันจะพลิกไปหมดเมื่อบอสปรากฎตัว  ด้วยจำนวนมอนสเตอร์ที่มากมายขนาดนี้  บอสที่ครอบครองพื้นที่ย่อมต้องแข็งแกร่งยิ่งอะไรดี  คงไม่มีใครจินตนาการถึงปัญหาในตอนนั้นออกแน่ว่าจะเป็นเช่นไร  ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับพวกมอนสเตอร์ที่จะโผล่ออกมาล่ะนะ
                “ที่นี่เป็นเขตแดนพิเศษในประวัติศาสตร์การล่มสลายของอาณาจักรนิฟล์เฮม  ก็คงไม่แปลกนักถ้าจะมีมอนสเตอร์พิเศษโผล่มาจ๊ะเอ๋กับเรา”
                ประสาทสัมผัสของวีดร้องเตือนให้รู้สึกถึงอันตราย
                อย่างน้อยสุดบอสตัวนี้ก็ต้องแข็งแกร่งพอ ๆ กับโทริ  หรือเลวร้ายสุดคืออาจจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับลิช  ไชร์!

***************************************


                ขณะเดียวกัน  คณะเดินทางสำรวจแดนเหนือที่นำทีมโดยกิลด์โฟรสเซ่นโรสก็กำลังทรมานกับการเดินทางของพวกเขา  หนึ่งในพวกเรนเจอร์ถูกส่งไปดูลาดเลาพื้นที่
                “พบเส้นทางหนึ่งที่มีปราสาทที่ใหญ่ที่สุดของแดนเหนืออยู่  ขณะนี้เรายังไม่ได้รับข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเป้าหมายของเรา  แต่เราอาจจะได้เบาะแสอะไรบ้างหากลองไปสำรวจรอบ ๆ เมืองและปราสาทดู”
                ดรัมรายงานด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง  กิลด์มาสเตอร์โอเบรอนฟังพ่อมดดรัมว่าจนจบ
                “เราไปสำรวจทางนั้นไมได้หรอก  พวกเขาเริ่มจะพูดถึงเราแบบไม่พอใจแล้ว”
                หากไม่ได้ชื่อเสียงและอำจาจของกิลด์คอยค้ำจุนไว้  คณะสำรวจคงแตกแยกไปตั้งนานแล้ว ความไม่พอใจกับความลำบากที่ได้พบมันไปถึงจุดที่จะทำให้คณะสำรวจนี้ล่มสลายได้แล้ว
                ดรัมพยักหน้าเห็นด้วย
                “จากนี้เราจะมีเส้นทางแค่ทางเดียวเท่านั้น”
                “ทางเดียวเท่านั้น?”
                “ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเราจะต้องเคลื่อนขบวนขึ้นไปที่หุบเขาเซนเดียม  ที่ที่คนของที่นี่เรียกกันว่า หุบเขามรณะ”
                ผู้คนเบิกตากว้างจ้องปลายทางใหม่ของพวกเขาบนแผนที่
                แผนที่ภูมิประเทศของเขตแดนเหนือถูกทำจนสำเร็จแล้วด้วยการสำรวจ  หมู่บ้านต่าง ๆ ถูกระบุไว้  แต่ภายในหมู่บ้านนั้น ๆ ก็ไม่ได้รับการสำรวจ  อันที่จริงถ้าหาแค่ชื่อกับที่ตั้งก็สามารถดูจากในแผนที่พื้นฐานได้
             

 เคลเบรอสพบหุบเขามรณะแล้ว  มันเป็นสถานที่ที่แยกตัวออกไปอยู่ทางเหนือลึกเข้าไปอีกในแดนเหนือแห่งนี้

                “ที่นั่นอยู่ใกล้กับเมืองหลวงของจักรวรรดินิฟล์เฮม  มันอยู่แถว ๆ ปราสาทเบนท์ (Bent Castle)  มีเหตุอะไรที่ทำให้เราจำเป็นต้องไปไหม?”
                เรนเจอร์ตอบเพียงว่า
                “เพราะมันเป็นพื้นที่ที่หนาวเย็นมากครับ”
                “มันถูกแช่แข็งงั้นเหรอ?”
                “ครับ  มันเป็นที่ที่หนาวเย็นที่สุดของตอนเหนือของทวีป  ลองนึกดูหากมีสิ่งที่จะสามารถลดอุณหภูมิของทวีปได้  ตัดสินตามข่าวลือแล้ว  คาดว่าน่าจะเป็นสร้อยลูกปัดที่แตกร้าวของแม่มดเซอร์เบียนครับ”
                “สร้อยลูกปัดที่แตกร้าวของแม่มดเซอร์เบียน!”
                แม่มดเซอร์เบียนที่เคยปรากฏตัวในประวัติศาสตร์ของทวีปเวอร์เซลล์
                เธอได้ทำสิ่งต่าง ๆ ไว้มากมาย  สร้อยลูกปัดที่แตกร้าวของเธอเป็นหนึ่งในยูนิคไอเทมเกรดสูงสุดที่ถูกบันทึกไว้
                “ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่  แต่จากที่เราได้ข้อมูลมาจากนักท่องเที่ยวและชาวบ้านในพื้นที่  ทางเขตเหนือของทวีปแต่เดิมทีไม่ได้เป็นเขตที่หนาวเย็นอย่างนี้”
                “นายกำลังจะบอกว่าต้นเหตุที่ทำให้แดนเหนือหนาวเย็นอย่างนี้ก็คือลูกปัดที่แตกร้าวของเซอร์เบียนใช่ไหม?”
                “มันมีความเป็นไปได้ครับ”
                โอเบรอน  ดรัม  และเคลเบรอสสบตากัน
                ในเวลานี้พวกเขาไม่มีทางเลือกใดที่ดีกว่านี้แล้ว
                โอเบรอนตัดสินใจ
                “ได้  มุ่งหน้าไปที่หุบเขามรณะกัน”
                เหล่าคณะเดินทางกุมท้องด้วยความหิวโหย  ขณะที่เท้าก้าวออกเดินทาง  พวกเขามีเสบียงอาหารเหลืออยู่ไม่มากนัก  แม้จริง ๆ จะสามารถส่งพวกเรนเจอร์ออกไปล่าอาหารมาได้  แต่พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่รู้ตำแหน่งที่ตั้งของหุบเขามรณะ  จึงต้องให้รวมกลุ่มกันไว้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะตายระหว่างการล่าจนไม่มีใคร นำทาง
                ฟิ้ววววว!
            ทุก ครั้งที่สายลมหนาวพัดมา  เหล่าคณะเดินทางจะต้องหดร่างกายของพวกเขาเข้าไปในเสื้อคลุมกันหนาว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีพายุน้ำแข็ง  สภาพอากาศของเนินเขาทำให้พวกเขาต้องตัวสั่นด้วยความระแวงกลัว
                “ถ้าสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงพวกเราจะตายกันหมด”
                “ไม่เป็นไรหรอกน่า  คอยมองพายุลูกถัดไปให้ดีเถอะ”
                “แน่นอน!  ฉันจะมองโดยระวังอย่างดีด้วยตาทั้งคู่ของฉันเลย  ไว้ใจได้”
                ปาโวและแกสตันได้ร่วมมือกันเจาะพื้นน้ำแข็ง
                สถาปนิกหนุ่มจำเป็นต้องขุดหลุมขึ้นมาเอาไว้หลบภัย  เพราะฉะนั้นถ้าอยู่กับเขาในระหว่างที่มีพายุน้ำแข็งนี้  ก็จะสามารถคลานเข้าไปหลบข้างในจนกว่าจะปลอดภัยและออกมาข้างนอกได้อีกครั้ง  เป็นเหตุให้มีช่างฝีมือจำนวนมากมารายล้อมรอบตัวปาโว  อาทิเช่นพวกช่างตีแหล็กและช่างเย็บผ้า
                “วี้ว!  เรารอดมาได้เพราะสถาปนิกอย่างนายแท้ ๆ เลย”
ปาโวไม่คิดอย่างนั้นพร้อมกับส่ายศีรษะ
พวกเขาวาดฝันไว้กับการผจญภัย เขาต้องการคนพวกนั้นถ้าเขาอยากได้สิ่งปลูกสร้างที่แข็งแรง  อย่างไรก็ดีเขาไม่อยากที่จะเอาพึ่งแต่พึ่งผู้อื่น นั่นทำให้เขารู้สึกไม่ดี  ในขณะที่รอบตัวปาโวนั้น พวกกุ๊กกำลังถูกจับจ้องด้วยสายตาที่เย็นชา
“พวกเขาควรจะเหลืออาหารสำรองเอาไว้บ้าง....”
“พวกนั้นต้องรับผิดชอบกับการที่ใช้วัตถุดิบไปจนเกลี้ยง”

แต่พวกกุ๊กกลับคิดต่างกัน
‘ตอนที่เราทำอาหาร พวกตะกละนั่นก็กินไม่หยุด’
‘พวกเรามาลองทำอะไรอร่อยๆดีกว่า’
‘มันไม่ใช่ความผิดของพวกเรา  พวกเราก็แค่ทำอาหารเท่านั้นเอง!’
ยังไงซะนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาบ่น  พวกกุ๊กทำได้แค่เพียงอดทนต่อเสียงต่อว่าพวกนั้น
ความหิวโหยบีบให้คณะเดินทางมุ่งมายังหุบเขามรณะ  พวกเขาคาดว่าจะต้องเผชิญกับพายุหิมะและน้ำแข็ง  แต่พวกเขาไม่เจออะไรพวกนั้นเลย
ทว่ายิ่งพวกเขาล่วงลึกเข้าไปในหุบเขา พวกเขากลับต้องเผชิญกับลมหนาวยะเยือกที่พัดอย่างรุนแรง
“ฮัดชิ้ว”
“ขอพระเจ้าคุ้มครอง!”
คณะสำรวจในตอนนี้ก็เหมือนกับผู้อพยพลี้ภัยที่ผ่านความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส  แต่แล้วพวกเขาก็มาถึงที่หมายในที่สุด  และที่นี่พวกเขาก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกครั้ง
“มีดอกไม้บานในที่ๆหนาวเย็นแบบนี้ด้วย”
“แถมยังมีต้นไม้เจริญเติบโตอีก”
พวกเขาเห็นดอกไม้สีเหลืองที่ไม่เข้ากับบรรยากาศที่นี่เท่าไหร่นักเบ่งบานอยู่เต็มไปหมด  แถมยังมีต้นไม้มาช่วยบังลมกรรโชกจากหุบเขามรณะอีก
พวกหน่วยลาดตระเวนได้แต่มองอย่างประหลาดใจ
“ตอนที่พวกเรามาครั้งก่อน มันไม่.....”
“พวกนี้มันไม่ได้อยู่ที่มี่มาก่อน  แล้วน้ำแข็งพวกนั้นหายไปไหนหมด?”
โอเบรอนถามด้วยอย่างซีเรียสด้วยความสุขุม..
“เกิดอะไรขึ้น?”
ดรัมส่ายหัว
“ขอโทษด้วย ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
พวกเขาดีใจที่ได้เห็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยดอกไม้แทนที่จะเป็นทุ่งน้ำแข็ง  แท้จริงแล้วทิวทัศน์พวกนี้ถูกฝังอยู่ในความทรงจำของเขามาแล้วช่วงหนึ่ง
อีกทั้งอาการที่แสดงถึงการหนาวและฟันสั่นกระทบเป็นเจ้าเข้า สำหรับพวกเขาแล้วสถานที่แห่งนี้แตกต่างไปจากที่อื่นๆ
คณะเดินทางต่างประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น  พวกเขายืนอยู่หน้าทางเข้าหุบเขามรณะ!
และพวกเขาก็เห็นวีด

วีด, ซอยูน และ อัลเวรอน ต่างยืนอยู่ใต้ลม  ในขณะที่โอเบรอนและคณะเดินทางของเขาเดินฝ่าหิมะมาอย่างช้าๆ

“ผู้ชายคนนั้นใช่วีดรึเปล่า?”
“ใช่แล้วล่ะ  ผมเคยเห็นประติมากรที่ชื่อวีด ที่โรเดียม”
แกสตันและปาโวต่างก็รู้จักวีด

โวล์ค ที่เป็นดาร์คเกมเมอร์ก็เคยได้ยินเรื่องของวีดมาก่อน
“ประติมากรที่ชื่อวีดงั้นเหรอ?”
“ที่รัก! คุณเคยบอกชั้นว่าประติมากรที่เมืองโรเซ็นไฮม์ที่มือชื่อแบบเดียวกันนี้ ใช่มั๊ยคะ?”
“ชื่อวีด มันก็เป็นชื่อสามัญทั่วๆไปอ่ะนะ  แต่ใบหน้านั่นมัน... เหมือนกันเลย! ใช่แล้วล่ะ นี่คือวีดที่แกะสลักช่อดอกไม้ที่ผมใช้สารภาพรักคุณ!”
ดวงตาของโวล์ดเบิกกว้างออกด้วยความประหลาดใจ
เครื่องแต่งกายของเขาแตกต่างจากสมัยที่เขาใส่ตอนที่อยู่ที่โรเดียม  ในตอนแรกที่โวล์คพบวีดนั้นเขาดูเหมือนขอทานทั่วๆไปที่เคราะห์ร้าย เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าใบหน้านี้ดูคลับคล้ายคลับคลาก็ตอนที่ใช้ชุดที่เหมือนผ้าขี้ริ้วมาแต่งตัว  และพอมาได้ยินชื่อของวีด ก็ยิ่งทำให้โวล์คมั่นใจมากขึ้น
“ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีกครั้ง วีด”
โวล์คอยากที่จะเจอวีด  แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะได้มาเจอวีดที่ดินแดนทางเหนือซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่มีผู้เล่นอื่นสำรวจมาก่อนแห่งนี้ เขาเริ่มออกวิ่งไปหาวีด
 “วีด!”
“เฮ้ นั่นมันนักดาบ 320 นี่!”
"มาที่นี่แล้วมาทำข้าวให้กินหน่อย  ข้ากำลังหิว  อาหารที่เจ้าทำมันอร่อยแบบหลุดโลกไปเลย "
“โครกคราก โครกคราก”
เหล่านักดาบผู้หิวโหยเดินตรงไปหาวีด ส่วนโอเบรอน เคลเบรอส และดรัมต่างก็คอยฟังการสนทนาของโวล์คและคนอื่นๆ
“ประติมากรงั้นเหรอ?”
ดรัมพูดขึ้นอย่างสนใจ
“เป็นแบบนั้นสินะ”
โอเบรอนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ผู้ชายคนนั้นเป็นประติมากรชื่อดังที่แกะสลักสฟิงคซ์นั่นน่ะนะ?”
หลังจากสร้างรูปปั้นสฟิงคส์ขึ้นมา กิลด์ทุกกิลด์ก็อยากได้เขาเป็นสมาชิก
โอเบรอนก็ส่งคนมาเกลี้ยกล่อมเขาให้เข้าร่วมเช่นกัน แต่เวลานั้นวีดออกจากเมืองโรเซนไฮม์ไปแล้ว เขาอยากเจอวีดอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่
เคลเบรอสยิ้มกว้าง
“ถ้าเขาคือนักแกะสลักที่ชื่อวีดจริง เราก็ถือว่าโชคดีมาก”
ดรัมเห็นด้วยอย่างเต็มที่
“ถ้าเขาสามารถสร้างรูปปั้นไว้ที่ไหนซักแห่งที่นี่ได้ล่ะก็ มันจะช่วยส่งเสริมการสำรวจของ
เราได้มาก”
แน่นอน วีดไม่ดีใจนักกับการมาถึงของพวกเขา คณะสำรวจทำให้อาชีพสายศิลปะและการสร้างเป็นที่ตระหนักแก่คนทั่งไปมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะในสภาวะที่อากาศเลวร้าย ต้องกระเสือกกระสนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้มีชีวิตรอดแบบนี้ ก็ยิ่งเผยให้เห็นถึงคุณค่าของสายอาชีพเหล่านั้นมากขึ้นไปอีก
แต่อาชีพสายศิลปะและการสร้างอื่นๆนั้นกลับไม่มีโอกาส
พวกเขาถูกมองข้ามและไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับปาร์ตี้ล่ามอนสเตอร์ธรรมดาๆได้ อย่างไรก็ตาม แม้แต่เขาเอง มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะอยู่รอดในดินแดนทางเหนือแห่งนี้ และเพราะอย่างนั้น มันจึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ไม่ธรรมดาของพวกเขา
ประติมากรมือใหม่ที่ชื่อเดปปได้สร้างรูปปั้นไฟขึ้นมา!!
ผู้คนมากมายได้ประโยชน์จากมัน
ความสามารถของประติมากรได้รับการยอมรับทันที
วีดพาคณะสำรวจไปยังที่ที่รูปปั้นของเขาตั้งอยู่
“มันอุ่นแฮะ”
“ตอนนี้ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลย”
เหล่านักดาบสามารถนอนราบลงไปและยืดเหยียดขาของพวกเขาได้
โอเบรอนและพวกที่เหลือของคณะสำรวจเห็นนักดาบและรูปแกะสลัก
“เป็นไปได้มั้ยว่านี่จะเป็นเพราะรูปปั้นนั่น?”
โอเบรอนและคนอื่นๆต่างแปลกใจ
อากาศโดยรอบรูปแกะสลักแตกต่างจากทั่วไป มันหายใจได้คล่องกว่าและให้ความรู้สึกอบอุ่น
เนื่องจากเมื่อก่อนอากาศมันค่อนข้างหนาว พวกเขาจึงไม่สามารถใช้กำลังที่มีอย่างเต็มที่ในการต่อสู้ได้ แต่ตอนนี้ พวกเขาไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป
“ประติมการ…เป็นอาชีพที่สุดยอดชะมัด”
แต่ความแปลกใจของคณะสำรวจยังไม่หมดแค่นี้ เมื่อพวกเขาได้ทานอาหารที่วีดเป็นคนทำด้วยตนเอง พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงค่าสถานะต่างๆที่เพิ่มขึ้น
ช่างตีเหล็กทรูแมนแอบเข้าไปหาวีด เขาเป็นชายชราที่มีหนวดสีขาว
“ประติมากรเป็นอาชีพที่ดีมาก ความคล่องแคล่วเบื้องหลังงานเหล่านี้ก็สุดยอด สกิลอะไรที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้น่ะ?”
ทรูแมนมีความรู้เกี่ยวกับอาชีพสายการสร้างอื่นๆ รวมทั้งอาชีพสายศิลปะ
แค่อาชีพประติมากรก็อัพเลเวลขึ้นยากแล้ว แต่ถ้ามันเพิ่มขึ้น มันจะเผยให้เห็นอาชีพอีกหลายๆด้าน
ด้วยสายตาที่แหลมคม วีดกวาดตามองทรูแมนจากบนลงล่าง
‘ค้อนแห่งพอลโมรู มันเพิ่มประสิทธิภาพของไอเทมที่ถูกสร้างขึ้นโดยช่างตีเหล็ก 20%’
มันเป็นไอเทมพิเศษที่สามารถขายได้ราคามากกว่าล้านวอนในเว็บการประมูล มีดนักแกะสลักที่ประดับไปด้วยลวดลายไม่เหมือนของช่างตีเหล็กที่มักจะดูเรียบง่าย ธรรมดาๆ
สวมใส่เกราะเหมือนกับอัศวิน
‘ช่างตีเหล็กสามารถสวมใส่เกราะได้ทุกชนิด คนคนนี้มาจากคณะสำรวจรึเปล่านะ? ดูจากอายุเขาคงจะเป็นทรูแมน’
วีดมักรู้สึกพอใจมากขึ้นเมื่อสามารถระบุตัวตนของคนอื่นได้
“ผมเคยเห็นคุณมาก่อน”
“โอ้ น่าประหลาดใจนัก คุณจะต้องเป็นนักแกะสลักแถวหน้าแน่ๆเลย”
ช่างเย็บผ้า แคทมัสก็เดินเข้ามาหาด้วย
“ยอดเยี่ยมมาก คุณประติมากร คุณไม่รู้หรอกว่าฉันชื่นชมรูปปั้นของคุณมากแค่ไหน”
วีดไม่เคยให้ของขวัญใคร ยกเว้นว่าพวกเขาจะสามารถทำประโยชน์ให้กับเขาได้
“มันอาจจะไม่มาก แต่นี่เป็นของขวัญจากผมครับ”
วีดยื่นรูปปั้นขนาดเล็กให้แก่ทรูแมนและแคทมัสเป็นของที่ระลึก
พวกเขาตาเป็นประกาย
มันเป็นสินค้าเรียบๆที่คงจะขายไม่ได้เงินนัก แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะซื้อการสนับสนุนจากฝ่ายตรงข้ามได้ แม้มันเป็นชิ้นธรรมดาๆไม่มีชื่อ แต่มันก็ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยวีดเหมือนกัน
วีดยังสานสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับพาโว แกสทัน และสมาชิกสายการผลิตคนอื่นๆที่ร่วมเดินทางกับคณะสำรวจอีกด้วย ในตอนนั้นเอง โอเบรอนก็เดินเข้าหาวีดและแนะนำตนเองว่าเป็นหัวหน้ากิลด์โฟรสเซ่นโรส
“ผมมีบางอย่างที่อยากให้คุณช่วย”
“อะไรเหรอครับ?”
วีดถามกลับอย่างสุภาพ
มันเป็นหลักการของวีดที่จะตรวจสอบจุดประสงค์ของพวกเขาก่อนจะทำตัวเป็นมิตรด้วย!!
เขาเดาว่ามันคงจะเกี่ยวข้องกับการสำรวจ
แล้วโอเบรอนก็ตอบกลับมาว่า
“พวกเราอยากจะยึดครองหุบเขามรณะด้วยกำลังที่เรามี แต่พูดตรงๆ ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายแบบนั้น ผมอยากให้คุณช่วยพวกเราในเรื่องนี้”
“ผมจะช่วยคุณได้ยังไงครับ?”
“คุณจะช่วยได้มากเลย ผมหวังว่านะ แน่นอนว่าผมจะจ่ายให้ไม่อั้น อย่างน้อยที่สุดผมก็จะจ่ายให้คุณสำหรับการนำประสิทธิภาพของรูปปั้นมาแบ่งปันให้พวกเราได้ใช้  รูปแกะสลักนั่นสำคัญสำหรับพวกเรามาก”
โอเบรอนมองไปทางรูปปั้น “คู่รักที่อบอุ่น”
สายตาของสมาชิกกิลด์โฟรสเซ่นโรสเต็มไปด้วยความอิจฉาครึ่งนึงและความชื่นชมอีกครึ่งนึง ผู้เล่นที่มีเลเวลสูงหลายคนพยายามทำสิ่งต่างๆมากมายเพื่อเอาชนะสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายนี้ ทว่าก็ไม่สำเร็จและได้แค่ทนทุกข์ทรมาน แต่ที่นี่ ประติมากรเพียงสร้างรูปปั้นขึ้นมาก็สามารถทำในสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้สำเร็จ
วีดเกือบตายไปครั้งนึงจากความเหน็บหนาว แต่เหล่าสมาชิกของคณะสำรวจกลับเห็นแค่ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ พวกต่างพยายามเพื่อให้ได้เป็นที่ถูกใจของประติมากร
ศิลปินผู้เดินทางมายังทวีปนี้และสร้างสรรค์รูปสลักที่งดงามออกมาได้รับการเคารพนับถืออย่างล้นหลาม
วีดเองรู้สึกดีใจมากในเรื่องนี้
“คุณสามารถใช้รูปปั้นนั่นได้มากเท่าที่ต้องการเลย”
“ราคา…มันจะประมาณเท่าไหร่ครับ?”
“ผมไม่ต้องการหรอกครับ ได้พบเจอกันในที่แบบนี้ต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ ดังนั้นพวกเราจะร่วมมือด้วยเต็มที่ครับ”
“ผมไม่อยากเป็นผู้รับอย่างเดียวแบบนี้ ถ้าคุณอยากได้อะไร เมื่อไหร่ บอกผมมาได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้สร้างรูปปั้นนี้มาเพื่อหวังจะเอาเงินจากใคร เพราะงั้น ผมจะขอคุณได้ยังไง”
“แต่….”
ไม่ว่าใครที่รู้จักวีดคงไม่มีทางเชื่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่แน่
พาโวและแกสทันถือโอกาสนี้เหลือบมองไปด้านข้างเพื่อส่งสัญญาณให้วีด แต่มันกลับถูกเมินเฉย เขาไม่หันไปมองใครเลยนอกจากโอเบรอน
ท้ายที่สุดโอเบรอนก็พยักหน้า
“ผมไม่อยากได้มาเปล่าๆเพราะมันจะเป็นการช่วยพวกเรามากเกินไป เอาแบบนี้เป็นยังไง ผมรู้มาว่าในฐานะที่คุณเป็นนักแกะสลัก คุณไม่มีสร้อยข้อมือคุ้มครอง ผมจะให้คุณอันนึง”
วีดรับกำไลคุ้มครองมาด้วยท่าทางที่เหมือนเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เขาไม่สามารถเปิดข้อมูลไอเทมขึ้นมาท่ามกลางผู้เล่นมากมายคอยมองแบบนี้ แต่เขาก็บอกได้ว่ามันถูกสร้างมาจากแรร์ไอเทม
แล้ววีดก็ถามว่า
“มันมีข้อกำหนดเรื่องเลเวลและอาชีพเพื่อให้สวมใส่มันได้ ถูกไหมครับ”
โอเบรอนตอบกลับอย่างใจดี
“เงื่อนไขมันคือเลเวล 200 แต่มันสามารถใส่ได้กับทุกอาชีพ มันสามารถต้านทานเวทมนต์ได้ดีและมีคุณสมบัติอีก 2 อย่าง เราได้มันมาจากบอสในดันเจี้ยนโฮลเดน (Holden) น่ะ”
ของชั้นสูง!!
วีดยิ้มกว้าง
“ขอบคุณสำหรับของขวัญที่ยอดเยี่ยมนี้ครับ”
ของหายากและไม่เหมือนชิ้นไหน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติที่มีแตกต่างกันทำให้มันมีค่ามาก โอเบรอนไม่ใช่คนประเภทที่จะใส่ไอเทมหรูหราถ้ามันไม่วิเศษพอ
‘บอสในดันเจี้ยนโฮลเดน อย่างนั้นเหรอ? มอนสเตอร์หายากที่จะปรากฏขึ้นมาแค่เดือนละครั้งนั่นน่ะนะ! และการจะดรอปได้ของดีๆมาก็ไม่เกิดขึ้นบ่อยด้วย’
บางทีพวกเขาอาจจะเจอดันเจี้ยนก่อนที่คนมากมายจะรู้และทำให้ได้รับของดีๆก่อนการล่าของผู้เล่นคนอื่นๆจะเก็บไปหมดก็ได้ มันเป็นหลักการของโอเบรอนที่จะแลกเปลี่ยนสิ่งของอย่างเท่าเทียม
‘เราคิดถูกแล้วเกี่ยวกับเขา’
วีดวิเคราะห์โอเบรอนอย่างรวดเร็ว
‘นักรบผู้ชอบธรรม’
เขามีชื่อเสียงด้านดีเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโรยัลโรด ผู้คนคิดว่าด้วยชื่อเสียงที่ดีแบบนั้น ความคิดของเขาก็น่าจะเป็นไปอย่างชอบธรรมด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม มันมักจะไม่ใช่แบบนั้น โอเบรอนเป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มเล็กๆที่มีชีวิตอยู่ตามชื่อเสียงที่เขามี
ขอความช่วยเหลืออย่างสุภาพ!
ในทวีปเวอร์เซลล์ ผู้ที่มีอำนาจจะเป็นผู้ปกครอง
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงประติมากร เขากลับเลือกที่จะถามมากว่าใช้กำลังในการจะได้มา
โอเบรอนเป็นนักรบที่ซื่อสัตย์และน่าเคารพ
สำหรับคนบางคน เขาจะต่อต้านถ้าพวกเขาแสดงท่าทางอ้อมค้อมไปมา คนบางคนอาจจะพยายามเจรจา แต่มันคงจบด้วยความล้มเหลว ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้ว การเจรจามักจะนำไปสู่การใช้กำลัง
หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์แล้ว วีดก็ตอบตกลง
ในฐานะที่เป็นประติมากร มันมีสกิลที่เขาจำเป็นจะต้องมี
เพื่อให้สามารถขายสินค้าได้มากขึ้นแม้จะแค่ 1 เหรียญทองแดงก็ถือว่าช่วยได้มากแล้ว
วีดสวมกำไลคุ้มครองด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้าง
“มันพอดีเลย ขอบคุณมากครับ”
“อีกอย่างนะครับ ผมมีคำถาม คุณมาทำอะไรที่นี่หรือครับ”
“เอิ่ม…..”
ถึงแม้ว่าทวีปกลางจะร้อนเป็นไฟเนื่องจากคำสาป โอเบรอนและคณะสำรวจก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกอยู่ดีที่มาพบกับประติมากรที่นี่
“ระหว่างเร่ร่อนไปสถานที่ต่างๆเพื่อช่วยปลุกจิตวิญญาณของประติมากร ท่ามกลางการเดินทางเหล่านั้น ผมก็ได้รับการร้องขอจากผู้หญิงคนนึงน่ะครับ”
“การร้องขอ??”
“เธอขอให้ผมมาปลูกดอกไม้และต้นไม้ในหุบเขามรณะน่ะครับ”
“อ้อ!”
โอเบรอน ดรัม และเคลเบอรอสเข้าใจถึงสภาพที่เปลี่ยนไปกะทันหันของหุบเขาทันที
‘คนคนนี้กำลังทำเควสอยู่นี่เอง’
ประติมากรมาทำเควสที่แดนเหนือ!
เควสที่ต้องการให้เปลี่ยนดินแดนแห้งแล้งแห่งนี้เป็นสิ่งที่สวยงามมากยิ่งขึ้น โอเบรอนถามถึงระดับความยากของเควสนี้
“เป็นอย่างนี้นี่เอง  พวกเรากำลังพยายามที่จะสำรวจหุบเขามรณะอยู่ เพราะงั้นคุณคงไม่ว่าอะไรถ้าคณะเดินทางของเราจะสำรวจบริเวณนี้?”
วีดตอบคำถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ผมเป็นประติมากรมืออาชีพและผมก็มีความภาคภูมิใจในงานของผม แต่ผมก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ต้องมาทำลายธรรมชาติแถวนี้”
เขาหักกิ่งไม้จากต้นแล้วเริ่มทำรูปปั้นจากมัน เพื่อประหยัดเงิน วีดจึงมักจะใช้วัสดุจากต้นไม้เมื่อแกะมันด้วยมีดของเขา
วีดแสดงออกมาให้เหมือนกับศิลปินผู้รักธรรมชาติ
“ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็แค่ ปลูกต้นไม้และดอกไม้ให้มากขึ้นแค่นั้น ถ้าพวกคุณช่วยกำจัดเหล่ามอนสเตอร์ให้ล่ะก็ มันจะช่วยให้งานของผมง่ายขึ้นเยอะเลยครับ แล้วก็…พวกผมขอติดตามคณะสำรวจไปด้วยได้มั้ยครับ”
“ติดตามพวกเรางั้นเหรอ??”
“ครับ คณะสำรวจจะเข้าไปยังหุบเขามรณะถูกมั้ยครับ?”
“ใช่ พวกเราจะทำแบบนั้น”
“ผมอยากเห็นคณะสำรวจต่อสู้อย่างกล้าหาญน่ะครับ”
“ผมไม่แนะนำนะครับ ในกรณีฉุกเฉิน พวกเราคงไม่สามารถปกป้องคุณได้”
เมื่อโอเบรอนพูดแบบนี้ ดรัมก็กระทุ้งศอกใส่เขาและหันไปกระซิบว่า
(หัวหน้า ผมจะดูแลเขาเอง เท่าที่ผมรู้คือเขายังไม่ได้เข้าร่วมกิลด์ไหน ถ้าเขาได้เห็นการกระทำของพวกเราล่ะก็ เราอาจมีโอกาสได้เขาเป็นสมาชิกก็ได้นะ)
(แต่ผมไม่รู้ว่าอันตรายแบบไหนจะรอพวกเราอยู่ คุณอาจไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ก็ได้)
(ไม่เป็นไรหรอกน่า พวกเขาไม่ใช่มือใหม่ พวกเขาน่าจะโดนโจมตีได้ซักครั้ง สองครั้งก่อนจะตาย)
(แต่ ผมว่า…)
(หัวหน้าคุณจะรู้สึกรับผิดชอบเกินไปแล้วนะครับ คุณอยากให้เขารู้สึกเหมือนโดนปฏิเสธเหรอ?)
พ่อมดเคลเบรอส รู้ว่าพวกเขากำลังส่งกระซิบหากันจึงเข้าไปขัดโดยการส่งเสียงกระซิบของเขาไปบ้าง
(หัวหน้า คนคนนี้เป็นส่วนหนึ่งของเควสแดนเหนือนี้แล้ว คำพูดเป็นสิ่งที่อันตรายมาก คุณไม่สามารถกลับคำได้นะครับ)
การตัดสินใจทั้งหมดจึงตกอยู่ที่โอเบรอน
แล้วโอเบรอนก็พยักหน้า
“คุณจะตามไปก็ได้ถ้าคุณอยากไป แต่ถ้ามันมีสถานการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้นมาเราไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของคุณได้นะครับ”
“ขอบคุณครับ”
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถร่วมเดินทางกับคณะสำรวจได้
ยิ่งคณะสำรวจเดินทางลึกเข้าไปในหมู่บ้านมรณะมากเท่าไหร่ วีดก็สามารถปลูกต้นไม้และขุดค้นความลับของจักรวรรดิ นิล์ฟเฮม ได้มากขึ้นเท่านั้น
วีด รวมทั้งซอยูนและอัลเวรอน เข้าร่วมหน่วยสนับสนุนด้านหลังและติดตามคณะสำรวจไป
การเดินทางเป็นไปอย่างเร่งรีบ
“ไปเร็ว! เราจะต้องถึงหุบเขาก่อนพลบค่ำ!”
“คอยช่วยเหลือด้านหลังขบวน แนวหน้านำทางที่พวกเราควรไป”
“ใช้เวทมนต์คุ้มครอง ในระหว่างที่อัศวินเตรียมตัวเคลียร์พื้นที่ จัดการให้เหล่ามอนสเตอร์ไปด้านนึง อย่าลืมป้องกันพลยิงธนูด้วย! พ่อมดเตรียมตัวร่ายคาถา”
คณะสำรวจจัดขบวนเป็นรูปหัวหอกอย่างรวดเร็ว เวลาที่พวกเขาได้ใช้ด้วยกันในแดนเหนือทำให้พวกเขาทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดี
นักฆ่า หัวขโมย และพลยิงธนูต่างก็คอยปูทางข้างหน้าให้ เป้าหมายของพวกเขาคือติดตั้งกับดักและฆ่ามอนสเตอร์ทุกตัวที่พบเจอ
“กับดัก 40 อันพร้อมแล้ว”
“ไปพื้นที่ต่อไป”
“มาเร็ว ไปได้แล้ว”
โดเรียมมีฝีมือพอแกะจะรอยของมอนสเตอร์และนำทางให้ แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่องรอยของฝูงมอนสเตอร์ขนาดใหญ่
เหล่ามอนสเตอร์สามารถใช้คำสาปกับนักฆ่าและผู้เล่นบางคนได้
“ข้างหน้า!!”
“ตอนนี้ศัตรูคือลิซาร์ดโซลเยอร์ (Lizard Soldier) และ ลิซาร์ดคิว (Lizard king) ”
“พ่อมด ร่ายเวทไฟ บุก!”
“โอออออออออ”
เหล่าอัศวินที่เป็นหัวหอกทำการโจมตี
พวกเขาต่างถือดาบและโล่ไปขณะวิ่งเข้าหาศัตรู วีดต้องยอมรับว่าอัศวินที่พุ่งเข้าใส่อย่างเต็มที่แบบนั้นสร้างแรงกดดันที่น่าเกรงขามได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ฟิ้ว-เฟี้ยว-ฉึก!
นักยิงธนูและผู้วิเศษยิงไปที่ศัตรูอย่างหนักหน่วง
พวกเขาให้การสนับสนุนเหล่าทัพหน้า
เวทมนต์ระเบิดขนาดใหญ่ตกลงมายังพื้นดิน
กลุ่มพ่อมดตรงกลางนำโดยโอเบรอนมีเป็นจำนวนมาก
ดาร์ค เกมเมอร์และสมาชิกกิลด์โฟรสเซ่นโรสต่างก็เข้าร่วมคณะเดินทางในระหว่างที่อาชีพสายสนับสนุนคอยอยู่ด้านหลัง
มอนสเตอร์ในหุบเขามรณะถูกฆ่าในพริบตาเดียว
ระหว่างการโจมตีที่น่าตื่นตานั่น วีดกลับเดินไปข้างหลัง
“มันมีพื้นที่ที่เพิ่งหว่านเมล็ดอยู่ ช่วยระวังตรงนี้ด้วยนะครับ!”
พาโวและผู้เล่นอาชีพสายสถาปัตย์ทั้งหมดต่างขุดดินเพื่อเพาะปลูก เหล่านักดาบก็คอยพรวนดินเพื่อใช้หว่านเมล็ดด้วย แม้แต่เชฟที่ไม่มีอะไรทำก็เข้ามาช่วย
ช่างตัดเสื้อแคทมัส และช่างตีเหล็กทรูแมน ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปก็เข้าผสมโรงด้วยเช่นกัน พวกเขาได้รับของที่ระลึกจากวีด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจอยู่เฉยๆได้
“นี่พวกนี้มันทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย”
บางครั้ง สมาชิกคณะสำรวจก็หันกลับมาดูภาพธรรมชาติที่พวกเขามองว่าไร้ค่า แต่ว่าพวกผู้เล่นอาชีพสายผลิตก็ไม่ได้สนอกสนใจอะไร
วีดติดสอยห้อยตามขบวนไปและคอยหว่านเมล็ดระหว่างทางเสมอ เมล็ดถูกนำไปปลูก ขณะที่มันเติบโตอย่างรวดเร็วและเริ่มแตกใบอ่อนออกมา วีดก็หว่านเมล็ดทั้งหมดเสร็จพอดี
ตริ้งๆๆ!

สำเร็จภารกิจ ปลูกดอกไม้: เมล็ดพันธุ์ได้รับการรปลูกในหุบเขามรณะ
เพื่อตอบสนองความต้องการของพรีนา การเจริญเติบโตของต้นไม้จะสร้างป่าขึ้นมาในอนาคต
ตั้งแต่สมัยอดีตกาล คนแคระและเอลฟ์ต่างก็ต่อสู้กันที่หุบเขามรณะ!
ที่ปลายหมู่บ้านมีเผ่าพันธุ์พิเศษอาศัยอยู่ พวกเขาสร้างหมู่บ้านของตนขึ้นมาและผลิตของหลายอย่าง  แต่พวกเขาก็ไม่เคยลืมที่จะตอบแทนแผ่นดินที่ให้พวกเขาได้อยู่
รางวัล: เมื่อคุณกลับไปยังหมู่บ้านโมราต้า คุณจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของพรีนา

ภารกิจสำเร็สแล้วว!!
ตอนนี้ก็เหลือเพียงอย่างเดียวคือ เควสที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมเสียเกียรติของจักรวรรดินิล์ฟเฮม
วีดรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
‘มันใช้เวลามากขึ้นอีกหน่อยในการจัดการกับมอนสเตอร์ แต่เควสก็ไม่ได้ยากมากนัก’
พวกเขาเกือบตายเนื่องจากความเหน็บหนาวที่ทารุณนั่น อย่างไรก็ตาม ขอบคุณความช่วยเหลือจากโทริ ซอยูน อัลเวรอน และคนอื่นๆที่ทำให้พวกเขาสามารถบรรลุเควสได้
และเขาก็ยังโชคดีมากที่ได้ร่วมเดินทางกับคณะสำรวจ
แต่ความตื่นเต้นของเขาก็ยังคงอยู่
‘คณะสำรวจถูกโจมตีจากมอนสเตอร์นับครั้งไม่ถ้วน ถ้าไม่ได้พวกเขาล่ะก็ เราคงต้องเสียเวลาไปอีกประมาณ 40 วัน แต่ว่า…ทำไมมันมีมอสเตอร์เยอะจังแถวนี้?’
คณะสำรวจเข้าไปยังหุบเขามรณะ
วีดได้ไปเยือนยังพื้นที่ที่สูงขึ้นไปทั้งสองด้านของหมู่บ้าน! นี่เป็นอีกที่นึงที่เขาไม่เคยมามาก่อน


“พวกมนุษย์ ช่างกล้านักนะที่มาเหยียบที่นี่”
“พวกเราเป็นคนที่ลบอาณาจักรนิล์ฟเฮมออกไปจากแผนที่เอง”
“ลุยยยยยย!! ฆ่าผู้บุกรุกซะ!”
“เลือดและคำสาป จงไหลราวกับสายน้ำผ่านหุบเขาแห่งนี้”
ทันใดนั้น เหล่านักบวชก็อยู่ในชุดเกราะสีดำและเหล่ามอนสเตอร์ก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นมา
ด้วยเวทมนต์คาถา เหล่านักบวชสั่งการมอนสเตอร์
อัลเวรอนมองไปทางพวกนั้นพร้อมกับกัดฟันกรอดๆ  มันเป็นครั้งแรกที่เห็นเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนขนาดนี้
“หือ?”
“นี่เป็นกลุ่มของพวกลัทธิที่บูชาจิตวิญญาณปีศาจ! นักบวชพวกนี้อุทิศตนและศรัทธาในพลังของปีศาจและดูดซับความแข็งแกร่งจากการฆ่าผู้บริสุทธิ์  วิหารในแต่ละทวีปนั้นต่างก็เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ มีเพียงวิหารเอ็มบินยู (Embinyu Church) เท่านั้นที่ทางทวีปได้ตัดออกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนวุ่นวาย  ผมไม่คิดเลยว่ามันจะมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้…”
วีดมองไปรอบๆ
โชคดีที่คณะสำรวจกำลังใส่ใจในการต่อสู้มากกว่าจะได้ยินเรื่องราวจากอัลเวรอน การต่อสู้ยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆเมื่อนักบวชของวิหารเอ็มบินยู เข้ามามากขึ้น
ซอยูนอยู่ไม่ไกล และใกล้เพียงพอได้ยินเรื่องราวของอัลเวรอน
“…”
แต่วีดไม่เป็นกังวลในเรื่องนั้น เพราะเธอไม่ใช่คนที่จะพูดป่าวประกาศไปเรื่อย! และในความจริง เธอไม่สามารถพูดได้เลย เพราะงั้น เธอคงเล่าให้ใครฟังไม่ได้แม้จะอยากทำก็ตามที
แล้ววีดก็นึกถึงคำพูดของเนโครแมนเซอร์ในตอนที่เขาต่อสู้กองทัพอมตะนั่นขึ้นมาได้
ตอนนั้นเนโครแมนเซอร์มองไปรอบๆก่อนจะพูดว่า
“พวกเราเหล่าเนโครแมนเซอร์ต่างก็เคยมีประสบการณ์เลวร้ายในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เรื่องเข้าใจผิดทั้งหมดได้ถูกแก้ไขแล้ว พวกเราจะรับการยอมรับและพัฒนาเวทมนต์ดำอย่างเป็นทางการเสียที”
“ข้าขอให้ท่านประสบความสำเร็จ”
“เพื่อตอบแทนท่านที่ต้องมาลำบากเพราะเควสที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ ข้าจะบอกความลับให้ท่านอย่างนึง ท่านคิดหรือว่าทวีปเวอเซลล์เป็นทวีปที่สงบสุขจริงๆน่ะ?”
“หือ?”
“ความมืดที่ไม่รู้แหล่งกำเนิดกำลังก่อร่างสร้างตัวอยู่รอบๆปีศาจที่ลึกลงไปข้างใต้เมือง วิหารแห่งเอ็มบินยู มีผู้นำอยู่ที่เป็นที่รู้จักกันอยู่ 12 คน”
“ผู้นำงั้นเหรอ?”
“เนื่องด้วยวิหารแห่งเฟรย่า ทำให้พวกนั้นต้องคอยหลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด โดยเป็นที่รู้จักกันในนามของวัด วัลฮัลลา (Valhalla Temple) คนกลุ่มนั้นเชื่อมั่นในวิญญาณปีศาจแห่งสายน้ำ และพวกเขาก็ต้องการให้โลกใบนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด  หนึ่งในผู้นำทั้ง 12 คนนั่นใช้ชีวิตอยู่ในฐานะผู้ก่อตั้งบาซูริน(Baseurin)  ช่วงเวลาตอนกลางวันอาจดูราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้สันติสุข แต่เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนสีเข้าสู่ยามค่ำเมื่อไหร่ ก็จะเป็นเวลาเทศกาลของเหล่าสาวกในลัทธิ  พวกมันทำทุกอย่างให้เป็นไปตามที่มันต้องการ”
บาซูริน นั้นไม่ปลอดภัย และวิหารแห่งเอ็มบินยูก็ดูจะเป็นภัยคุกคามต่อสันติของทวีปเวอเซลล์มากกว่ากองทัพอมตะพวกนั้นซะอีก
‘ยิ่งคืบหน้าไปได้เท่าไหร่ ก็ดูเหมือนกับว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ บาซูริน’
มันเชื่อมโยงไปหาเควสที่ยิ่งใหญ่มาก อย่างน้อยก็ต้องเป็นเควสลับระดับ A หรือระดับสูงกว่านั้น
‘จนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีข้อมูลว่ามีใครได้รับเควสระดับ S เลยซักคน’
โดยปกติความแตกต่างของชื่อเสียงที่ได้รับนั้นขึ้นอยู่กับเควส เควสที่มีเงื่อนงำอย่างยอดเยี่ยมแบบนี้มักนำไปสู่เควสระดับยากขึ้นและรางวัลที่ดีขึ้น
‘ดินแดนของบาซูริน งั้นเหรอ‘
วีดระลึกถึงความหลังอย่างสบายอารมณ์
การต่อสู้นี้ยากเกินไปสำหรับคณะสำรวจ นักบวชแห่งเอ็มบินยู สร้างความเสียหายเข้ามาตลอดเวลา

“บ้าชะมัด พวกนี้มาจากไหน…”
“ป้องกันพวกเขา! ไม่ว่ายังไงก็ตาม ต้านมันซะ!”
ตั้งแต่มาที่นี่ คณะสำรวจได้รับอันตรายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าตอนนี้กว่า 10% ของพวกเขาตายไป
นักแกะรอยและนักฆ่าถูกกวาดล้าง พ่อมดมากมายก็ถูกฆ่าโดยนักบวชแห่งเอ็มบินยู เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขามีน้อยนิด
“โอ ผู้เฝ้าประตูนรกเอ๋ย , จงมายังที่แห่งนี้เพื่อกวาดล้างพวกบาปหนาเหล่านี้ด้วยเทอญ!”
และแล้วผู้อัญเชิญของวิหารแห่งเอ็มบินยูก็มาถึง ฝูงมอนสเตอร์จำนวนมากรวมทั้งเซเบอรัสที่ถูกอัญเชิญมาสร้างความเสียหายให้แก่คณะสำรวจ
คณะสำรวจใกล้จะล่มสลายอย่างน่าอัปยศอดสู
การระดมพลเหล่าพ่อมดอย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ทำให้สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ศัตรูได้เป็นอย่างมาก
แต่ทว่า หลังเดินทางมาอย่างรวดเร็ว มานาของเหล่าพ่อมดจึงหมดเกลี้ยง
ดังนั้นการใช้พลังตั้งแต่ตอนแรกของการต่อสู้จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
เหล่านักบวชต่างเหน็ดเหนื่อย
“อย่าเพิ่งยอมแพ้!”
“พวกเราต้องกำจัดพวกนั้นก่อน!”
โอเบรอนพกความกล้าหาญและรุดไปข้างหน้า แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในฐานะผู้บัญชาการว่าจะสู้ตายอย่างไม่เสียดายชีวิต
เหล่ากิลด์พันธมิตรและดาร์คเกมเมอร์ที่คอยเฝ้ามองตั้งแต่ตอนต้นจากด้านหลังจึงเริ่มเคลื่อนไหวเข้ามาร่วมการต่อสู้บ้าง
นอกจากพ่อค้าแล้ว อาชีพสายต่อสู้ทั้งหมดและนักกวีต่างก็เข้าร่วมการปะทะ
ผลที่ออกมาคือ จำนวนศัตรูก็เริ่มลดลงอย่างช้าๆ อัศวินที่ผ่านขุมนรกมาได้และเหล่าแรนเจอร์ เพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่ตายไปจากการโจมตีใหญ่ของนักยิงธนู
ใบหน้าของวีดผ่อนคลายมากขึ้น แต่ไม่นานมันก็กลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง
‘นี่ยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะมันได้ พวกนี้มันเป็นแค่มอนสเตอร์และบอสระดับล่างเท่านั้น’
มันไม่ได้มีแค่นักบวชของเอ็มบินยูเท่านั้น วีดค่อนข้างแน่ใจว่าได้ยินอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเอง ที่ท้ายหมู่บ้านก็ปรากฏเงาขนาดมหึมาขึ้นมา!
โครงกระดูกขนาดใหญ่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดิน
ขากรรไกรของสมาชิกคณะสำรวจต่างตกลงไปถึงตาตุ่ม สิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว
มังกร
มังกร สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก หลังจากการตายของมันและถูกแช่แข็งในน้ำแข็งเป็นเวลานาน บัดนี้มันกลับมาพร้อมกับไอดำอย่างพวกผีดิบ
“ฉันไม่อยากเชื่อ!”
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่ามังกรโครงกระดูกจะอยู่ที่นี่”
มังกรโครงกระดูกเป็นมอนสเตอร์ประเภทผีดิบชนิดที่มังกรตัวเป็นๆไม่สามารถเอามาเทียบกับมันได้เลย และขนาดมังกรตัวเป็นๆก็ยังไม่มีใครพูดได้ว่าเคยจับมันมาก่อนเลย
พึบพั่บพึบพั่บ!
มังกรโครงกระดูกสั่นไหวทุกครั้งที่มันขยับปีก มันอยู่สูงกว่า 400 เมตรขึ้นไป และแรงที่มันสร้างจากการกระพือเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะส่งผลกระทบออกไปอย่างใหญ่หลวง
ฮวิ ริ ริ ริ ริ ฮวิ ริ ริ ริ !
สายลมที่ไหลผ่านกระดูกของมันให้เสียงที่แปลกประหลาด
เสียงขู่คำรามที่เยือกเย็น!
คุณอยู่ในสถานะหวาดกลัว
ร่างกายขยับไม่ได้ชั่วคราว
ความเร็วลดลง 1.5%
สติปัญญาลดลง 30%

จิตวิญญาณการต่อสู้ถึงกับลดลงพียงแค่ได้ยินเสียงคำรามของมัน
“ว้ากกกกก”
ผู้เล่นบางคนพยายามจะหนี
พวกเขาไม่อยากตายเพราะสู้กับมังกรโครงกระดูก
มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อย่างไรก็ตาม มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักคำว่าเมตตา
มังกรโครงกระดูกสยายปีกของมัน และบินโฉบไปโจมตีคณะสำรวจอย่างไม่ลังเล
ด้วยฟันที่น่าขยะแขยงนั่น มังกรขยับร่างกายและลำคอเพื่อกลืนสมาชิกในคณะสำรวจ
“คั่ก อ่ะ คั่ก!”
เมื่อเห็นว่าขบวนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ โอเบรอนจึงตะโกนออกไปว่า
“อย่าลังเล! อย่ายอมแพ้! ถ้าพวกนายอย่างเป็นพวกขี้ขลาดก็หนีไปซะ! แต่ถ้านายอยากเป็นฮีโร่ล่ะก็ยกดาบขึ้นมาและออกไปสู้ซะ!”
โอเบรอนนำทีมมุ่งตรงไปโจมตีมังกรโครงกระดูก
ยังมีมอนสเตอร์และนักบวชแห่งเอ็มบินยูเหลืออยู่ แต่มันจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูกำลังใจมากกว่าเสียเวลาจัดการพวกมัน
“ติดตามหัวหน้ากิลด์ไป!”
“เราขอตายเคียงข้างหัวหน้ากิลด์ โอเบรอน!”
คณะสำรวจเบนเป้าหมายมาเป็นการโจมตีมังกรโครงกระดูกร่วมกับโอเบรอน
มังกรเผชิญหน้าการทำร้ายทุกรูปแบบ
มังกรโครงกระดูกทำให้เกิดเสียงดังอึกทึกมากมายขณะที่มันปรี่เข้ามาหา!
แรงนั้นมหาศาลมากเสียจนทำให้แผ่นดินสั่นไหว!
เสียงกรีดร้องดังขึ้นระงมเมื่อเท้ามหึมานั่นเหยียบคณะสำรวจ
ท่าทางของมังกรนั้นเรียบง่าย แต่ใครก็ตามที่เผลอรับการโจมตีไปล่ะก็มีแต่โทษตายอย่างเดียว ระหว่างที่คณะสำรวจและมอสเตอร์กำลังโจมตีกันนั้นเอง
มังกรก็อ้าปากกว้าง
วีดรู้จักพฤติกรรมนั่นและรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
‘ลมหายใจ! มันกำลังใช้ลมหายใจมังกร!’
เพราะปิงหลง เขาจึงสามารถเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป แต่มังกรกลับเล็งมายังด้านหลังของคณะสำรวจ
ฟู่วววววววววว!
พิษรุนแรงไหลทะลักออกมาราวกับสายน้ำ!
ลมหายใจแพร่กระจายไปทั่วทั้งวีดและผู้เล่นอาชีพสายผลิต ไม่มีใครรอดชีวิต มีเพียงความตายที่รออยู่เบื้องหน้าคนที่โดนลมหายใจมังกร
นักสถาปัตย์ พาโว ไม่แม้แต่จะพยายามขุดรูหนีในชั่วขณะของความตายนั่น
“บุก!”
“มาล้างแค้นให้พวกพ้องเรากันเถอะ!”
การโจมตีของคณะสำรวจเป็นไปอย่างดุเดือดขึ้น แน่นอน มังกรได้รับความเสียหายมากมายระหว่างที่ต่อสู้กับพวกที่เหลืออยู่
เวลาผ่านไปกว่า 10 นาที

ซู่วววววววววว
ณ สถานที่สูญเสียชีวิตไป ก็ปรากฎการก่อรูปร่างของกระดูก
นักรบโครงกระดูก!
ต้องขอบคุณพลังแห่งการปฏิเสธความตาย (Power to reject death) นี่ วีดถึงได้เกิดใหม่ในฐานะนักรบโครงกระดูก


เล่มที่ 9 ตอนที่ 10 : จบ

**************************


<a href='https://ads.dek-d.com/adserver/adclick.php?n=a6753880' target='_blank'><img src='https://ads.dek-d.com/adserver/adview.php?what=zone:696&amp;n=a6753880' border='0' alt=''></a>

3 ความคิดเห็น: