วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เล่มที่ 4 ตอนที่ 9 สมาคมดาร์คเกมเมอร์ (The Dark Gamer Union)

เล่มที่ 4 ตอนที่ 9 สมาคมดาร์คเกมเมอร์ (The Dark Gamer Union)

ลี ฮุน ปิดหนังสือเรียนวิชาคณิตศาสตร์ลง
เมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาได้ดรอปเรียนในช่วงชั้นมัธยม และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาไม่ได้คิดอีกเลยว่า เขาจะได้เปิดหนังสือเรียนอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามเพื่อการสอบวุฒิบัตรสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ทำให้เขาต้องกลับไปเริ่มต้นทบทวนบทเรียนอีกครั้งหนึ่ง
“ฮืมมม”
ตั้งแต่ ลี ฮุนดรอปออกจากโรงเรียน เขาได้ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อการหารายได้จากการใช้แรงงาน ซึ่งทำให้สมองของเขาขึ้นสนิมเป็นที่เรียบร้อย  ลี ฮุนตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือแต่ความหมายของมันไม่ได้เข้าหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ บ้าเอ๊ย, ทำไมมันบอกให้ใช้สูตรเยอะขนาดนี้เนี่ย ของพวกนี้ถ้าชั้นต้องการคำตอบล่ะก็มันก็สามารถหาได้ง่ายๆจากในอินเตอร์เน็ต และพวกการคำนวณที่ยุ่งยากนี่ชั้นก็จะใช้เครื่องคิดเลขแทนได้อยู่แล้ว … ”
ลี ฮุน บ่นพึมพำคนเดียวไม่หยุด เพราะมันยากมากที่จะทบทวนวิชาเลขด้วยตัวเอง แต่ถ้าไปโรงเรียนกวดวิชา นั่นหมายความว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก
บางทีเราควรจะลืมๆมันไปซะ แล้วก็เข้าไปเล่นเกม…แต่ค่าธรรมเนียมการสอบดันจ่ายไปแล้วนี่สิ
อย่างไรก็ตาม ฮายัน ที่รู้จักพี่ชายเธอของเธอดี  ได้วางแผนทุกอย่างในหัวเรียบร้อยแล้ว เธอจึงได้ใช้วิธีการสอนที่ไม่ธรรมดากับเขา
“ดูสิ ตัวเลขนี้คือ เงินที่พี่เก็บสะสม คิดเกี่ยวกับมันดีๆสิ ถ้าพี่ฝากเงิน 300 ดอลลาร์ เป็นเวลา 12 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ย 5.39 % อะไรคือผลตอบแทนที่พี่ควรจะได้เมื่อสิ้นปี”
“316 ดอลลาร์ กับ 17 เซนต์!”
 เมื่อ ฮายัน ถามคำถามลักษณะนี้ เธอจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องทุกครั้งในชั่วเวลาแค่พริบตา แต่คำตอบที่ได้ไม่ได้ทำให้ ฮุน พอใจ  เขายังคงกล่าวต่อไป
” ดอกเบี้ยที่ได้จะเท่ากับ 16.17ดอลลาร์ แต่มันต้องเสียภาษีอีก เพราะงั้นภาษีจะเป็น 2.10 ดอลลาร์ถ้าคิดแบบง่ายๆ หรือ ไม่ก็เป็น 2.42ดอลลาร์ ถ้าคิดด้วยหลักภาษีมาตรฐาน”
ฮายันยิ้มด้วยความสุข
“เห็นมั๊ย ? มันเป็นเรื่องง่ายๆ พี่จะรู้เรื่องและเข้าใจทุกอย่างในภายใต้วิธีการคิดแบบเดียวกัน เอาล่ะ คำถามข้อต่อไป นับจำนวนเงิน”
จากการหยุดเรียนไปเป็นเวลานาน  หัวสมองของ ลี ฮุน แทบจะไม่ได้ใช้งานเลย  แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาเริ่มที่จะเข้าใจและแก้โจทย์ปัญหาได้อย่างง่ายขึ้นเรื่อยๆ
ลี ฮุน อ่านหนังสือทั้งหมดและ แก้ปัญหาไปได้ครึ่งนึง เขาทำแม้กระทั่งไปขอยืมหนังสือทั้งหมดที่น้องของเขามีมาอ่าน
เขาทำทั้งหมดที่ว่ามานี่ก่อนเวลาสอบ 4 วัน!
นั่นเพราะว่า ถ้าเขามีเวลาเหลือเยอะ เขาจะไม่สามารถบังคับตนเองให้จดจ่อกับการศึกษาได้ แต่ถ้ามันใกล้จะถึงเวลาสอบเมื่อไร  สิ่งที่เขาทำได้ก็จะมีเพียงการศึกษาให้มากที่สุดเท่าที่ทำด้วยเวลาที่เหลืออยู่

แล้วก็มาถึงวันสอบ
ลี ฮุน ออกจากบ้านก่อนเวลาปกติ เพื่อเดินไปโรงเรียนในตัวเมือง ที่มีสถานที่จัดสอบ
เราต้อง…ทำให้ดีที่สุด …

*************************

ระหว่างทาง ลี ฮุน แวะไปเยี่ยมย่าของเขาที่โรงพยาบาล ดูเหมือนว่าเธอจะมีอาการดีขึ้น หลังจากที่รักษากับหมอ เธอสามารถลุกขึ้นเดินได้ด้วยตัวของเธอเอง
“อย่าไปเป็นกังวล ถ้าเกิดหลานสอบไม่ผ่านนะฮุน หลานยังคงมีเวลาในการเตรียมตัวสำหรับครั้งหน้าให้ดีขึ้นเพื่อที่จะผ่านการสอบทั้งหมด”  ย่าได้บอกกับลี ฮุนพร้อมยิ้มให้กำลังใจ
“ครับ ย่า …”
ลี ฮุนกุมมือเธอไว้อย่างแน่น
มือของย่าเขาล้วนหยาบกร้านเพราะจากการใช้แรงงานหนักที่เธอได้ทำในช่วงชีวิตครึ่งหลังของเธอเพื่อเลี้ยง ฮุนและฮายัน หลังจากที่พ่อแม่ของพวกเขาเสียชีวิตไป
ฮุน ย่อมสำนึกในบุญคุณของเธอไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา ถ้าไม่เป็นเพราะย่า พวกเขาทั้งคู่จะต้องถูกส่งไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและจะต้องถูกแยกจากกันแน่ๆ เพราะว่ามันยากมากที่จะ มีครอบครัวที่สามารถรับเลี้ยงเด็กได้ทีเดียวสองคน
“ผมคงต้องไปแล้วครับย่า”  ฮุน กล่าวลากับย่าของเขาเพื่อไปที่โรงเรียน

******************************

การสอบจัดขึ้นที่โรงเรียนมัธยม “เกาหลี”  โรงเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาแบบครบวงจร และตั้งอยู่ใกล้กับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย
ถึงแม้มหาวิทยาลัยแห่งนี้จะไม่ได้ติดอันดับ1 ใน 10 ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และคนอยากเข้ามากที่สุดในประเทศ  แต่มหาวิทยาลัยเหล่านั้นมีการสอนที่ดี ,มีวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอน และโครงสร้างของสิ่งปลูกสร้างภายในอย่างดีเยี่ยม คนหนุ่มสาวที่มีความสามารถ รวมถึงนักศึกษาชาวต่างชาติ ต่างได้มาศึกษาที่นี่ซึ่งมีความเป็นอิสระและ สนับสนุนด้านความคิดสร้างสรรค์
คุณภาพของมหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้มาจากการจัดอันดับภายในประเทศ แต่ถูกวัดจากการได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ   มหาวิทยาลัย “เกาหลี” นั้นเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในประเทศอื่นๆ  ดังนั้นจึงได้มีนักศึกษาจากต่างประเทศมากกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆในเกาหลี
ลี ฮุน ชื่นชมไปกับรูปกษัตริย์แห่งเกาหลีที่อยู่บริเวณอาคารหลักของมหาวิทยาลัย

“ถึงแม้ตัวชั้นจะมีชีวิตที่เลวร้าย  … แต่ชั้นขอสาบานว่า น้องสาวของชั้นต้องได้เรียนที่นี่ …”

******************************

ผู้เข้าสอบถูกจัดเป็นกลุ่มๆละ 30 คน
หลังจากที่ได้รับชุดกระดาษคำถาม ลี ฮุนก็ประหลาดใจมากเพราะเขารู้คำตอบเกือบจะทั้งหมด วิธีการศึกษาอย่างเร่งรีบและเข้มข้นของเขาให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
อย่างไรก็ดี เขาจะไม่ควรละเลยความจริงที่ว่าการสอบนี้มีจริงๆแล้วจัดขึ้นเพื่อให้ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างไม่สามารถที่จะจบการศึกษาได้มีโอกาสศึกษาต่อ ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่ง่ายกว่าการสอบปกติ
“ชั้นรู้คำตอบเกือบทั้งหมด นี่ถ้าชั้นได้มีโอกาสศึกษาต่อละก็ ,ชั้นมั่นใจว่าชั้นจะต้องทำผลงานได้ยอดเยี่ยมแน่ๆ” – ฮุน คิดในขณะที่ค่อยๆกวาดตาดูคำถามอย่างช้าๆ
ฮุน รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เขาไม่สามารถที่จะเรียนหนังสือต่อไปในโรงเรียนได้  ในความคิดของเขานั้น ข้อผิดพลาดของระบบการศึกษาในเกาหลีได้ก่อให้เกิด อัจฉริยะผู้โชคร้ายอย่างเขานั่นเอง!
แต่เขาก็ไม่ได้มีเวลาให้เสียไปกับความคิดเหล่านั้นนานนัก  ดังนั้นเขาจึงหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มเขียนคำตอบ, และก็มีบ้างเป็นบางคำถามที่เขาต้องใคร่ครวญเป็นอย่างมากก่อนที่จะเขียนคำตอบลงไป
มีอยู่วิชาหนึ่งที่ลี ฮุน สามารถเลือกที่จะสอบได้คือ วิชาศีลธรรม จริงๆแล้วเขาจะเลือกภาษาต่างประเทศหรือวิชาอื่นๆก็ได้ แต่ที่เขาเลือกวิชานี้ขึ้นมาเพราะเป็นวิชาที่เขาคิดแล้วว่าไม่ต้องอ่านหนังสือหรือเตรียมความพร้อมก่อนสอบก็ได้ เพราะมันต้องอาศัยเพียงแค่หลักการพื้นฐานเท่านั้น

คำถามข้อ1. ถ้าคุณพบเจอกระเป๋าสตางค์ตกอยู่บนพื้น คุณจะทำอย่างไร
A) เอาเป็นของตัวเอง
B) หยิบขึ้นมาแล้วตรวจสอบว่ามีใครเห็นหรือเปล่า
C) หยิบขึ้นมาและวิ่งหนี
D) หยิบขึ้นมา, เช็คบัตรประชาชน, และพยายามหาเจ้าของ
E) เอาเงินไปแล้ว ทิ้งกระเป๋าสตางค์ไว้


ลี ฮุนเกาหัวของเขา ขนาดตอนตัดสินใจจะออกจากโรงเรียนตอนนั้นยังไม่ยากขนาดนี้เลย
งั้น คำตอบข้อไหน คือข้อที่ถูกล่ะเนี่ย?
เขาคิดว่า วิชาศีลธรรมเป็นวิชาที่ง่าย แต่ มันได้พิสูจน์ตนเองด้วย คำถามที่มีความซับซ้อน
แหม๋ มีคำตอบตั้ง 3 ข้อที่เป็นคำตอบที่ถูกต้อง…
หลังจากขบคิดไปได้พักนึง เขาเอนเอียงไปที่คำตอบที่ 2  แม้คำตอบที่ 5 ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เช่นกันแต่การทิ้งกระเป๋าสตางค์ไว้ก็ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลย
คำถามศีลธรรมข้ออื่นๆไม่มีอะไรยาก และลี ฮุนตอบคำถามเหล่านั้นได้ง่ายๆ
“ชั้นน่าจะได้คะแนนเกือบเต็มในวิชาศีลธรรมนะเนี่ย”
วิชาศีลธรรมเป็นวิชาสอบสุดท้าย ดังนั้นตอนนี้ ลี ฮุนสอบเสร็จแล้ว

*******************************

“ในการผจญภัยครั้งที่แล้ว ที่ รอส เกลียซิส (Ross glaeasis) เราได้ อาวุธใหม่มา มันคือ ขวานทองคำที่เปล่งประกาย! ที่ช่วยเพิ่มพลังการโจมตี 60! ”
“แล้วมีการเพิ่มสถานะพิเศษอะไรบ้าง”
“ความแข็งแกร่ง+45 ความว่องไว -10  เพิ่มความสามารถที่จะตอบโต้กับกลุ่มโจรระหว่างออกผจญภัย ถ้ามันตกลงไปในน้ำ จะสูญหาย”
“โว้วว ว้าวว เท่ห์มาก”
ในระหว่างทางเดิน กลุ่มคนที่สอบเสร็จ จับกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กๆ และแทบทุกกลุ่มล้วนแล้วแต่พูดคุยกันเรื่อง เส้นทางแห่งราชันย์
“ขวานทองคำ…”
 ขวานในเกมมีค่าโจมตีสูงที่สุดแต่ระยะการโจมตีและความเร็วถูกจัดให้อยู่ในอับดับต่ำสุด  แม้ว่าการโจมตีจากขวานจะสร้างความเสียหายให้อย่างมากแต่มันไม่ได้เรื่องแน่นอนถ้าคุณไม่สามารถโจมตีโดนเป้าหมายได้   ดังนั้นถ้าคุณรู้ที่จะเหวี่ยงขวานหรือใช้ขวานอย่างถูกต้อง คุณจะเป็นนักสู้ที่น่ากลัวมากๆ
ลี ฮุน คว้ากระเป๋าขึ้นมา และเริ่มเดินไปที่ทางออก เขาไม่ได้รีบร้อนนัก เขาตัดสินใจที่จะเดินไปด้านหลังพวกที่กำลังกลุ่มคุยกันอยู่  เขาอยากจะได้ยินการสนทนาทั้งหมดของพวกนั้น
หนึ่งในกลุ่มเหล่านั้นมีคนหนึ่งที่อายุราวๆ30ปี ส่วนอีกสองคน ดูเด็กกว่า
“จอง ฮุน, ฉันโคตรอิจฉานายเลย ตั้งแต่ที่พวกเราออกจากโรงเรียน เวลาทั้งหมดที่พวกเราใช้ไปคือการดื่ม …”
“ช่ายยยย , ในขณะที่พวกเราทำอะไรโง่ๆไปเรื่อย แต่นายได้เป็นสมาชิก สมาคมดาร์คเกมเมอร์….”
หืมมมสส์ ดาร์คเกมเมอร์?
ดาร์คเกมเมอร์ เป็นชื่อเรียกของกลุ่มผู้เล่นที่หาเงินผ่านเกม
แต่ ลี ฮุน รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากกับ ปฎิกิริยาของชายหนุ่มสองคนนั้น พวกเขารู้จักว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร  แล้วพวกเค้าก็อิจฉางั้นเหรอ
เค้าไม่อายงั้นเหรอ?
ลี ฮุน คิดว่าไม่เห็นมีอะไรจะน่าภาคภูมิใจเลยกับการที่คุณหาเงินได้จากการเล่นเกม เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เลย, ไมได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆอะไรมาให้กับโลกใบนี้ด้วยซ้ำ, ที่ทำก็แค่เสกเงินขึ้นมาจากอากาศธาตุ ถ้าเกมมันตายเมื่อไร คุณก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าที่สุดในโลกไปในทันที

“ จอง ฮุน ระดับของนายตอนนี้คือเท่าไหร่ ”
“เลเวลของฉันเหรอ? มาดูกัน …เท่าไรดีน้า … 355 ”
“ว้าวววว มันสูงมาก!  ฉันมีเพื่อนมากมายในเกม แต่ไม่มีใครในพวกเขาที่มีระดับที่สูงเท่านี้ และตอนนี้อันดับของนายอยู่ที่เท่าไหร่?”
“ตอนนี้ฉันอยู่ในกลุ่มหนึ่งหมื่นคนแรก”
จำนวนผู้เล่นในเกมนี้ได้เกิน100ล้านคนไปแล้ว ดังนั้นใครที่สามารถอยู่อันดับสูงกว่า10000 นั่นมีความหมายมากๆ
“ระดับถึง 355 แล้วเหรอเนี่ย ช่างโชคดีจริง”
ลีฮุนไม่สามารถซ่อนความ ริษยาของเขาที่กำลังค่อยๆเกิดขึ้นในแต่ละก้าว เขากำลังจะไปขึ้นรถบัสกลับบ้าน
อย่างไรก็ตาม จอง ฮุน และ ชายอีกสองคน มาหยุดที่ๆจอดรถซึงใกล้กับ รถนำเข้าจากต่างประเทศ
“มาด้วยกันสิ ฉันจะโชว์ให้พวกนายดูว่าอะไรคือ ดาร์คเกมเมอร์”
“จริงอ้ะ ? ขอบคุณมาก! ”
พวกเขาเหล่านั้นเข้าไปในรถ  ส่วน ลี ฮุน ไม่มีตัวทางเลือกอื่นนอกจากเดินไปที่ป้ายรถเมล์  ทันใดนั้นจอง ฮุน ได้เรียก ฮุนไว้
“เห๊ยย ! พวกเรามีที่นั่งเหลือ อยากมาด้วยกันไหม? ถ้านายอาศัยอยู่แถวนี้ไปด้วยกันก็ได้ ”
ฮุน เริ่มพิจารณาว่าเขาควรรับคำเชิญนี้หรือไม่ แต่ จอง ฮุน ก็พูดต่ออีกว่า
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันรู้ว่านายก็เล่นเส้นทางแห่งราชันย์เหมือนกัน และฉันก็เห็นว่านายฟังการพูดคุยของพวกเราด้วย ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปที่ๆการนัดพบกันของ ดาร์คเกมเมอร์ นายมากับพวกเราก็ได้นะ”

*****************************

เหล่าดาร์คเกมเมอร์มารวมตัวกันมาที่โกดังร้าง
ภายในอาคารขนาดใหญ่นั้น  มีแคปซูลเป็นคู่ๆ โต๊ะยาวและเก้าอี้หลายตัว
"ก่อนที่เราจะเริ่มต้นการประชุมของเราฉันจะบอกคุณเกี่ยวกับสมาคมของพวกเรา ... "
เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อ ชอย จอง ฮุน พร้อมทั้งกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม
“ในความคิดเห็นของพวกคุณคิดว่าจะมีซักกี่คนที่สร้างรายได้ในการขายไอเท็มต่างๆที่ได้จากเกมส์ เส้นทางแห่งราชันย์ ? ไม่ใช่ขายเพียงแค่ครั้งหรือสองครั้งนะ แต่เป็นคนที่สามารถหาเลี้ยงชีพจากมันได้น่ะ?”
“ซัก 2-3 หมื่นคนได้มั้ง?” ผู้ชายคนนึงถามขึ้นหลังจากคิดไปพักนึง
ชอย จอง ฮุน ส่ายหัว
“มีไม่ต่ำกว่าแสนคนต่างหาก”
“ขนาดนั้นเชียว?”
“และพวกเขาส่วนใหญ่เป็นชาว อินเดีย, จีน, และประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออก”
พรมแดนระหว่างประเทศไม่มีความหมายอะไรเลยกับเกมส์เส้นทางแห่งราชันย์  คนที่มาจากประเทศไหนๆก็สามารถที่จะสนุกไปกับเกมส์ได้โดยใช้แคปซูล แม้แต่อุปสรรคทางภาษาก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปด้วยโปรแกรมการแปลเสียงพูดอัติโนมัติโดยการให้บริการจาก บริษัท ยูนิคอน คอร์ปอเรชั่น
“ผมได้ยินว่ามีบริษัทการค้าในประเทศเกาหลีที่มุ่งเน้นแต่เฉพาะ เส้นทางแห่งราชันย์ …”
“ถูกต้อง พวกเขาขายสินค้าและเงินจากในเกมที่พนักงานของพวกเขาหามาได้ ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์พวกเขา หรอกนะ พวกเขามีแนวทางของพวกเขา  ส่วนพวกเราก็มีแนวทางของพวกเราเองและเราก็ไม่อยากที่จะทำตัวให้เป็นที่รู้จักของสาธารณชน   สมาชิกส่วนมากของเราจะไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร  พวกเขาชอบที่จะอยู่คนเดียว…   ผู้เล่นเหล่านั้นย่อมไม่สามารถที่จะแสดงศักยภาพความสามารถของพวกเขาได้ในบริษัทขนาดใหญ่   นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำไมพวกเราถึงได้สร้างสมาคม ดาร์คเกมเมอร์ขึ้น
คำกล่าวของ ชอย จอง ฮุน ทำให้สมาชิกใหม่หลายๆคนสับสนเล็กน้อย
 “แล้ว สมาคมนี้ คืออะไรล่ะ ถ้างั้น?”
“คำถามที่ดี  เหตุผลหลักสำหรับสมาคมคือการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สมาคมของเรามีข้อมูลที่เหล่าสมาชิกรวบรวมมา  ซึ่งนั่นจะช่วยให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับแหล่งการล่า , ดันเจี้ยนที่ดี, เส้นทางการค้าที่สร้างกำไร และเหล่ามอนสเตอร์ที่หายาก…..”
 “ว้าววว พวกคุณแบ่งปันข้อมูล? หมายความว่าถ้าเราเข้าสมาคม เราก็สามารถที่จะเข้าถึงฐานข้อมูลเหล่านั้นได้?”
“โชคร้ายหน่อยนะ มันไม่ง่ายขนาดนั้น คุณไม่สามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้ในทันที ระดับการเข้าถึงของสมาชิกถูกตัดสินด้วย การจัดระดับ ภายในสมาคม”
“เอ๋ ไหงงั้นล่ะ?”
“นั่นคือมาตรการรักษาความปลอดภัย ก่อนหน้านี้มันไม่มีหรอก แต่สมาชิกบางคนอาจทำให้ข้อมูลหลุดออกไปข้างนอกได้ และข้อมูลก็เป็นหัวใจของสมาคมของเรา”
“ดูท่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อมีคนจำนวนมากขึ้น อะไรก็เกิดขึ้นได้”
“ใช่แล้ว นอกจากนี้ผู้เล่นระดับ100 ก็จะไม่สามารถใช้ข้อมูลดันเจี้ยนที่ระดับ200 และสูงกว่านั้นได้ ดังนั้นเราจึงกำหนดระดับให้กับสมาชิกของเราตามคุณค่าของข้อมูลที่พวกเขาให้มา และระดับนี้เองจะเป็นตัวกำหนดระดับการเข้าถึงข้อมูลของพวกเขา   นี่เป็นหลักการเบื้องต้น และแน่นอนสมาชิกใหม่ทุกคนจะได้รับสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลขั้นพื้นฐาน”
“แปลว่า ระดับจะขึ้นอยู่กับคุณค่าของข้อมูลที่คุณให้เป็นหลักเลยใช่มั้ย?”
“มันก็ไม่ใช่ซะทั้งหมด  ถ้าคุณมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสมาคมอย่างสม่ำเสมอ หรือถ้าคุณทำการขายไอเท็มผ่านเว็ปประมูลของเราบ่อยๆ ระดับของคุณก็จะเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน  แต่การเลื่อนระดับด้วยวิธีพวกนี้มันก็มีข้อจำกัดและไปได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น”
“นั่นก็ดีพอแล้วล่ะ ถ้าพวกเราสนใจจะลงทะเบียนสมัคร ต้องทำยังไงบ้าง?”
คนสองคนที่มาพร้อมกับ ชอย จอง ฮุน เริ่มต้นกรอกเอกสาร พวกเขาระบุชื่อตัวละครของพวกเขา, เลเวล และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
ด้วยข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ ระดับของสมาชิกจะถูกกำหนดขึ้น  เนื่องด้วยชายคนนั้นมีเลเวล 140  เขาจึงถูกจัดไว้ที่ระดับต่ำที่สุด คือ ระดับ D
“แล้วนายล่ะ ไม่ลงทะเบียนด้วยหรือ ”  จอง ฮุน ถามหลังจากที่เข้ามาใกล้ ฮุน ที่นั่งฟังอย่างสงบ
“หึ ไม่อ่ะ ชั้นไม่สนใจเข้าร่วมหรอก ”
“นั่นเป็นคำตอบของนายหรอ”
จอง ฮุน ไม่ได้ดูผิดหวังแม้แต่น้อย
“โอเคร การที่นายปฎิเสธที่จะเข้าร่วมนั่นหมายความว่านายเล่น เส้นทางแห่งราชันย์ นี่แบบจริงจัง และการนายมาที่นี่กับพวกเราก็แปลว่านายต้องสนใจอะไรบางอย่างในองค์กรของเรา แต่ถ้านั่นคือการตัดสินใจของนาย ฉันก็คงทำอะไรมากไม่ได้…..”
จากนั้น ชอย จุงฮุน โน้มตัวไปใกล้หูของ ลีฮุน เพื่อกระซิบ
“พวกเขาสองคนนั้นเพียงแค่บังเอิญผ่านเข้ามาเท่านั้น พวกเขาอาจจะไม่สามารถที่จะใช้ข้อมูลที่มีอยู่ได้เลยด้วยซ้ำ  แต่ฉันเห็นว่านายต่างจากคนอื่น ดังนั้นถ้าเกิดนายอยากจะเข้าสมาคมของพวกเรา นายจะได้รับสิทธิ์ การเข้าถึงข้อมูลพิเศษบางอย่าง….”
“…”
“ฉันคิดว่านายคงไม่อยากที่จะแบ่งปันข้อมูลที่มีค่าของนายกับคนอื่นหรอกถ้านายจะได้สิ่งตอบแทนเพียงแค่การได้เข้าถึงข้อมูลของพวกมือใหม่  นายคิดอย่างนั้นใช่มั๊ยล่ะ?”
ลี ฮุนค่อนข้างแปลกใจ  ดูเหมือนว่า ชอย จอง ฮุน จะได้เจอผู้เล่นหลายคนที่เป็นเหมือนกับ ฮุน และค่อนข้างมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตนเอง
“เอาเถอะ ทุกคนต่างมีหลักการของตัวเองและสมาคมของเราก็เคารพการตัดสินใจของแต่ละคน แต่ฉันจะให้คำแนะนำกับนายละกัน …ถ้านายเป็นผู้เล่นที่จริงจังกับเส้นทางแห่งราชันย์แล้วล่ะก็ นายก็ควรที่จะเข้าร่วมกับสมาคมของเรา”
ลี ฮุน ที่ไม่ได้ปริปากอะไรเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้ ตอบกลับมาอย่างสงบ
“ชั้นไม่มีเวลาที่จะมาเลื่อนระดับ และ ชั้นก็ไม่อยากจะแชร์ข้อมูลให้คนอื่นๆ”
ถ้าลีฮุนต้องเปิดเผยชื่อของเขา - ‘วีด’- เขาต้องเจอปัญหาแน่ๆ เขาจำได้ว่า ออง จูวาน พูดไว้ขนาดไหนเรื่องที่จะสัมภาษณ์เขาให้ได้
แต่แม้จะได้รับการปฏิเสธเป็นครั้งที่สองก็ไม่ได้ทำให้ จอง ฮุน ไม่พอใจ  ในทางกลับกันดูเขาจะชอบใจคำตอบของฮุน ด้วยซ้ำ
“โอเคร อย่างน้อยนายก็ไม่ใช่คนที่แทงข้างหลังคนอื่น นายรู้จักเวปไซต์ของเราไหม? อ่ะ ฟังนะ ล๊อกอิน kj9008 รหัส 165008  นี่เป็น แอคเค้าท์พิเศษสำหรับผู้เล่นที่จะเข้ามาสู่เวปไซต์เราเป็นครั้งแรก เมื่อนายเข้าสู่ระบบนายจะได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ระดับ ’C’ และมันจะช่วยให้นายเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณค่าระดับนึง,เชื่อชั้นสิ  อ้อ แล้วนายก็สามารถเปลี่ยนรหัสผ่านเมื่อนายเข้าสู่ระบบได้นะถ้านายกังวลว่าคนอื่นจะเข้าถึงข้อมูลของนายได้”
“ทำไมชั้นถึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษแบบนี้ ?” ฮุน ถามขึ้นอย่างเรียบๆ “เพราะเป็นเพื่อนร่วมสถาบันงั้นหรือ?”
“เรื่องนี้ตอบง่ายมาก ดาร์คเกมเมอร์ มีกฎสามข้อ กฎข้อแรกคือ ‘อย่าไว้ใจคนอื่น’ ซึ่งมันใช้อธิบายความสัมพันธ์ของเราในปัจจุบันได้อย่างดีที่สุด”
“…”
“นอกจากนี้ยังมีกฎข้อที่2 นั่นคือ ‘ให้มากเท่าไหร่ ก็ใช้ได้มากเท่านั้น’  นายดูเหมือนจะเป็นคนที่ปฎิบัติตามกฎทั้งสองข้อนั้นได้, และถ้านายใช้ข้อมูลบางอย่างของเรา  นายก็จะให้อะไรบางอย่างที่มีคุณค่าไม่แพ้กันกลับมา ฉันเห็นความเป็น ดาร์คเกมเมอร์ ที่แท้จริงในตัวนาย”
“แล้วกฎข้อที่3คืออะไรล่ะ?”
“นี่คือกฎข้อที่3 : ‘เงินเท่านั้นที่เชื่อใจได้’ ”
“…”
เพราะงั้น ลี ฮุน จึงตัดสินใจที่เข้าร่วมสมาคม ดาร์คเกมเมอร์

*************************************

ณ ชั้นที่ 4 ในดันเจี้ยนบัสเราะห์  วีด, ฮวารยอง และ เซเฟอร์ กำลังมุ่งมั่นกับการออกล่า
พวกเขาเสี่ยงชีวิตในการต่อสู้ทุกๆครั้ง  และจากการต่อสู้ทุกครั้งแต้มของทักษะและประสบการณ์ของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“โอเค, พลังชีวิตกลับมาเต็มแล้ว … วีด พวกเราไปสู้ต่อกันเถอะ”
“ได้เลย, งั้นเราไปลุยต่อกัน”
เซเฟอร์ และ ฮวารยอง ต่างสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองในการต่อสู้ที่ผ่านมา
ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีการอะไรก็ตาม มันก็ไม่สำเร็จที่จะชักจูงให้วีดชะลอความเร็วในการล่าลงได้  ท้ายที่สุดพวกเขาจึงเปลี่ยนตนเองให้ไปทำตามความปรารถนาของวีดแทน
ขณะเดียวกันนั้นเอง  วีดกำลังคิดว่าดันเจียนบัสเราะห์นั้นแทบไม่เหลืออะไรที่น่าสนใจสำหรับเขาอีกแล้ว
“พวกเราจะอยู่ที่นี่ต่ออีกซักวัน หรือ สองวันเป็นอย่างมาก  ชั้นเสียดายเวลาที่เสียไปกับการสอบนั่นจริงๆ”
เวลาผ่านไปได้ระยะนึงแล้วนับจากการล้อมโจมตีป้อมโอดิน
กิลด์บอลข่านอ่อนแอลงไปเป็นอย่างมากและคงไม่สามารถเปิดศึกโจมตีกับป้อมปราการไปได้อีกซักระยะหนึ่ง  ดังนั้นผู้ชนะจากศึกครั้งนั้นย่อมมีเวลาเพียงพอในการเฝ้ารักษาตำแหน่งของตนเองเอาไว้  บริเวณพื้นที่ล่าเกือบทั้งหมดรอบๆป้อมโอดินต่างถูกยึดครอง และมีเพียงผู้เล่นจากกิลด์รุ่งโรจน์และพันธมิตรของพวกเขาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ล่าได้ในบริเวณเหล่านั้น
ช่างน่าเสียดายจริงๆ
ดันเจี้ยนบัสเราะห์ – หนึ่งในดันเจี้ยนที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านค่าประสบการณ์ที่สูงและลูทที่มีค่า
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา วีดได้เลเวลเพิ่มขึ้น 17 เลเวล จนตอนนี้เขามีเลเวล 247 แล้ว  แต่เขายังสงสัยอยู่ว่าพวกเขายังจะล่าที่นี่ได้อีกนานเท่าไหร่
ชั้นต้องทำให้ได้อีกอย่างน้อย 5 เลเวลในช่วงเวลาที่เหลืออยู่  มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะเริ่มจากมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง; ชั้นคงจะเก็บประสบการณ์ได้ไม่เร็วพอถ้ามัวแต่สู้กับพวกปลาซิวปลาสร้อย …
วีด เรียกเพื่อนๆของเขาและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ๆพวกเขายังไม่เคยไปเยือนมาก่อน นั่นก็คือ – ห้องที่เป็นที่อยู่ของบอสของดันเจียนนี้, สถานที่ๆถูกเรียกว่า ‘ฐานที่มั่นของพวกก่อการร้าย (Main Revolt Headquarters)’
ตอนที่วีด เล่าความคิดนี้ให้ฟัง ทั้งฮวารยองและเซเฟอร์ต่างตอบกลับด้วยความรวดเร็ว:
“ชั้นไม่อยากจะเชื่อ!”
“วีด, นายสมองเสื่อมรึไง?!”
บอสของดันเจียนบัสเราะห์มีเลเวล 290, และมันยังมีลูกน้องที่เป็นไนท์เลเวล 275 อีกต่างหาก  ไม่แปลกเลยที่เพื่อนร่วมทีมของวีดจะมีปฏิกริยาอย่างนั้น
“วีด, พวกเราเคยคิดว่านายมีการตัดสินใจที่ดีกว่าพวกเรา  แต่ครั้งนี้มันเกินไป  ไม่มีทางที่เราจะชนะบอสกับไนท์นั่นได้เลย”
“ถูกต้องที่สุด!” – เซเฟอร์สนับสนุนคำพูดของฮวารยอง –
“บอสของบัสเราะห์เป็นพ่อมดมนต์ดำ, บางคนถึงกับบอกว่าเป็น เนโครมานเซอร์ด้วยซ้ำ  เวทมนต์ของเนโครมานเซอร์น่ะต่างจากพ่อมดทั่วไปเป็นอย่างมาก  ยิ่งไปกว่านั้นนายยังต้องคิดถึงเลเวลของมันที่สูงถึง 290 แล้วก็ยังพลังชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้นไปอีกจากการที่มันมีสถานะเป็นบอส”
“พวกเขาว่ากันว่าพลังการโจมตีของมันมหาศาลเป็นอย่างยิ่ง!”
“ช่าย, แค่นายโดนเข้าไปซัก 2 ครั้ง นายก็ซี้แล้ว”
วีด โบกมือของเขาขึ้นเป็นการขัดจังหวะของเซเฟอร์และ ฮวารยอง:
“การโจมตีของมันแรงยังงั้นเชียว?”
“ก็ใช่น่ะสิ! ผ้าพันแผลมันใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ งานนี้น่ะ” – เซเฟอร์อุทานเสียงดัง
“แล้วก็นะ ผ้าพันแผลน่ะ มันใช้ได้ก็ต่อเมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงนะ!” – ฮวารยองเสริมขึ้นมาอีก
ทันใดนั้นเอง เซเฟอร์และฮวารยองก็เหลืบมองกันแวบนึง และแล้วพวกเขาก็ได้ความเห็นที่เป็นเอกฉันท์  พวกเขาดูสดชื่นขึ้นมาในทันทีพร้อมกับยิ้มออกมา
“วีด! พวกเราขอไปด้วยสิ!”
“ถ้าเราตาย, เราก็จะได้พักซะที” – ณ วินาทีนี้ นี่เป็นความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของพวกเขา
พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมทางที่น่าสนใจที่วีดพบตั้งแต่มาที่นี่
วีดไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่น้อยที่มีพวกเขาร่วมทาง  วีดไม่สามารถห้ามอาการประหลาดใจกับการที่ได้เห็นว่าพวกเขานั้นอ่านได้ง่ายเพียงใด  อย่างไรก็ตาม วีดไม่ได้ตระหนักเลยเขาเองก็อ่านง่ายไม่ต่างจากสองคนนั่นเหมือนกัน แค่เอาเงินเหรียญเดียวมาล่อหน่อยเดียวก็เรียบร้อยแล้ว

*********************************

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! พวกเราไม่ได้รับแขกมาซักระยะนึงแล้ว พวกเจ้ามีธุระอะไรที่นี่งั้นรึ?”
ในส่วนที่ลึดที่สุดของดันเจียน มีบอสของดันเจียนในชุดหรูหรากำลังนั่งอยู่บนบัลลังค์อย่างสง่างาม  รอบกายของมันมีไนท์ 2 ตัว และ โจรอีก 12 ตัว
“นี่คือจุดจบของพวกเราสินะ …”
“ขอบคุณพระเจ้า, แล้วมันก็จะจบลงซะที”
นอกเหนือจากการรับฟังคำพูดของบอสแล้ว  ฮวารยอง กับ เซเฟอร์ ต่างเตรียมใจทำจะยอมรับความตาย  พวกเขาไม่ได้ประหม่าแต่อย่างใด  อย่างน้อยรอยยิ้มของพวกเขาก็แสดงให้เห็นเช่นนั้น  แต่พวกเขากลับรู้สึกฟินนิดๆ; ก็พวกเขาไม่ได้มีโอกาสสู้กับบอสบ่อยๆนี่นา
บทบาทหลักของNPC ที่ดันเจียนแห่งนี้คือการแก้แค้นสหพันธรัฐบริทิช (British Confederacy), เพราะงั้นมันจึงเป็นไปได้ที่จะไม่ต้องสู้กัน  ขอเพียงคุณมีความเป็นมิตรที่เพียงพอ, คุณก็สามารถที่จะได้รับเควสจากบอสได้ ซึ่งอาจจะเป็นการหยุดยั้งมือสังหารที่ถูกส่งมาล่าเขา หรือไม่ก็อาจจะเป็นการจัดหาไอเทมที่พวกโจรต้องการ
โดยทั่วๆไปแล้ว, หากคุณรับเควสพวกนี้ไปแล้วล่ะก็คุณก็จะกลายเป็นศัตรของสหพันธรัฐบริทิช  อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะมารับเควสพวกนี้ได้  มันจำกัดเพียงผู้เล่นที่มีชื่อเสียงที่มากพอเท่านั้น
เพราะงั้นตอนที่บอสของบัสเราะห์เริ่มต้นพูดคุยกับวีด, ฮวารยองและเซเฟอร์จึงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะถ้าการต่อสู้ไม่เกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่มีโอกาสจะได้ตายน่ะสิ
แต่แล้วพวกเขาก็ผ่อนคลายลงเมื่อวีด กำด้ามดาบแน่นพร้อมกับตอบว่า:
“พวกเรามาเพื่อสังหารเจ้า”
“โฮ่ โฮ่ โฮ่! ที่แท้แกก็เป็นสุนัขรับใช้ของไอ้พวกบริทิชนั่นสินะ! ก็ดี, ในเมื่อเจ้ามาหาความตายถึงที่ ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง  ข้าจะแขวนศีรษะของเจ้าไว้ที่ทางเข้าเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ไอ้พวกลูกหมาบริทิชตัวอื่นๆ  ไนท์! ฆ่าพวกมันซะ!”
“ข้าขอรับบัญชา, องค์ อาร์ชดยุก(Archduke) ผู้ทรงเกียรติ.”
ในขณะที่บอสพูดพล่ามอยู่ วีดก็ยกดาบของเขาขึ้นพร้อมตะโกนออกมา:
“พรศักดิ์สิทธิ์ (Holy blessing)!”
คุณสมบัติของดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งอกาธาส่งผล  และจิตวิญญาณพรศักดิ์สิทธิ์ได้แผ่ซ่านไปรอบกายวีด
“พรจากแหวนหัวหน้านักบวช!”
แหวนในมือวีดเปล่งแสงและปรากฎเป็นออร่าที่อ่อนโยนปกคลุมร่างกายของวีด
ถึงแม้ว่าคุณสมบัติของไอเทมพวกนี้จะแสดงผลอยู่ได้เพียง 20 นาที แค่มันก็เป็นของที่ถูกปลุกเสกด้วยตนเองโดยหัวหน้านักบวชของภาคีแห่งเฟรย่า! ในชั่วพริบตา, ความแข็งแกร่งของวีดเพิ่มสูงขึ้นครึ่งหนึ่ง
“แวน, จัดการพวกโจรซะ!”
“รับทราบ, มาสเตอร์”
แม้กระทั่งเดธไนท์ยังลืมที่จะพยศเมื่ออยู่ต่อหน้าพรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ มันไม่ฉลาดเลยที่จะไปจุ้นจ้านกับวีดในขณะที่เขากำลังแข็งแกร่งอย่างนี้
“เซเฟอร์, ช่วย แวน จัดการพวกโจรพวกนี้ที”
“แต่…”
ถ้าจะสู้, เขาอยากต่อสู้กับพวกไนท์มากกว่า, พวกนั้นน่าที่จะตายไม่ยาก
“ฮวารยองจะเป็นคนหยุดพวกไนท์  ส่วนชั้นจะจัดการ อาร์ชดยุก (Archduke) เอง ”
“แล้วถ้าพวกมันยังคงมุ่งมาด้วยสัญชาตญาณล่ะ?” – ฮวารยองอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงกังวล
“งั้นก็เผชิญหน้ากับมัน พอแวน กับ เซเฟอร์จัดการงานของเขาเสร็จ พวกเค้าก็จะมาช่วยเธอเอง ชั้นคงจะยุ่งอยู่กับเจ้าบอสนั่น”
เซเฟอร์ กับ ฮวารยอง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่งของวีด
มีไนท์ สองตัวเข้ามาหาวีดอย่างช้าๆ พร้อมทั้งใช้ทักษะกวัดแกว่งดาบของพวกมัน
“อย่ามัวแต่หลับอยู่สิ ฮวารยอง, มันเริ่มแล้วนะ!”
เซเฟอร์พุ่งเข้าหากลุ่มโจรทันที และวีดก็ลอดผ่านไนท์สองตัวนั้นไปได้ง่ายๆ พร้อมออกวิ่งต่อไป  ทิ้งฮวายองให้เผชิญหน้ากับพวกมันเพียงลำพัง
“ชาร์มมิ่ง แดนซ์ (Charming dance)!”
การโปรยเสน่ห์กับศัตรูที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าเธอนั้น, เธอจะต้องใช้มานาจำนวนมากและเต้นนานกว่าปกติ  และไนท์พวกนั้นมันก็เข้ามาหาอย่างรวดเร็วซะด้วย!
“เพื่อชัยชนะของบัสเราะห์!” NPCs ตะโกนออกมาพร้อมกระโจนเข้าหา ฮวารยอง
แดนเซอร์สาวหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
“มันคงจะเจ็บไม่มากนะ …”
ความเจ็บปวดที่จะนำเธอไปสู่ความตาย! เธอยินดีที่จะตายมากกว่าที่จะอยู่เพื่อต่อสู้อย่างเหนื่อยยากซึ่งทำให้เธออ่อนล้าอย่างสุดขีดอย่างนี้ทุกวัน
อย่างไรก็ดี ผ่านไปวินาที ก็แล้ว, สองวินาทีก็แล้ว ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ! ยิ่งไปกว่านั้น, เธอได้ยินไนท์สองตัวนั้นหยุดและโต้เถียงกัน
“ฆ่าเธอซะ, เจสัน (Jason)”
“ข้าไม่อยากทำ เจ้าจัดการแล้วกัน โทบอน (Tobon)”
“ข้าทำไม่ได้! ในฐานะ ไนท์ พวกเราได้ปฏิญาณไว้ว่าเราจะปกป้องสุภาพสตรี มันเป็นพันธกิจของพวกเรา! ถ้าข้าฆ่านาง, ข้าคงจะไม่ใช่ไนท์อีกต่อไป”
“เอ่อ เฮอะ, ข้าก็คิดเช่นนั้น! แต่คำสั่งของบอส …”
คำพูดสุดท้ายช่วยขจัดความลังเลของพวกมัน  ฮวารยองได้ยินเสียงหนึ่งในพวกมันเข้ามาหาเธอพร้อมกับกล่าวคำแสดงความเสียใจ:
“ยกโทษให้เราด้วย, สาวน้อย!”
แม้คาดว่าความตายจะมาเยือนอยู่ทุกขณะ ทว่า ฮวรายองไม่ได้หยุดการเต้นของเธอเลยแม้แต่น้อย  เธอยังคงขยับช่วงแขนและบิดส่ายร่างกายอย่างงดงาม
มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอแม้แต่น้อยที่จะเต้นแม้ว่าตาจะปิดอยู่  ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เธอต้องเต้นต่อหน้าฝูงโจรแห่งบัสเราะห์หลายต่อหลายครั้ง, บางครั้งก็เป็นการเต้นตอนที่ง่วงสุด  ดังนั้นเธอจึงได้เรียนรู้ที่จะเต้นแม้จะหลับตาก็ตาม
ติ้ง!
คุณใช้ชาร์มมิ่ง แดนซ์ สำเร็จ
ไนท์แห่งบัสเราะห์ตกอยู่ในบ่วงเสน่ห์
“อ้าห์! เธอช่างงดงามเสียยิ่งกระไร, ข้าไม่สามารถฆ่านางได้ ขอโทษด้วยบอส, พวกเราไม่ …”
ฮวารยอง จัดการพวกไนท์ให้หมดสภาพต่อสู้ไปได้
“เฮ้อ! ชั้นไม่อยากเชื่อว่าชั้นจะทำได้!”
เมื่อ เซเฟอร์ และ แวน ได้เข้ามาหาเธอหลังจากที่พวกเขาจัดการพวกโจรลงไปได้ , เธอก็ล้มลงไปบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

********************************

“สุดยอดไปเลย!”
เซเฟอร์ประทับใจการต่อสู้ของวีด กับ บอสแห่งบัสเราะห์, ผู้ซึ่งใช้มนต์ดำหลายชนิดเข้าใส่วีดอย่างต่อเนื่อง
“จงทิ่มแทงอริของข้า, ลูกศรนิลกาล!”
ลูกธนูจำนวนมากที่สร้างจากความมืดมิดถูกยิงจากด้านหลังของ อาร์ชดยุก โดยมีเป้าหมายอยู่ที่วีด  เวทมนต์ถูกใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่วีดสามารถหลบลูกศรทั้งหมดได้
ที่เขาทำเช่นนี้ได้นั้นเป็นเพราะเขาได้ทำการคำนวณไว้แล้วว่ามันมีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น  ดังนั้นเองในช่วงเวลาที่บอสเริ่มร่ายเวท  วีดก็สามารถล่วงรู้ถึงชนิดของมัน,อาณาเขตของเวท และเริ่มที่จะหลบหลีกมัน  เซเฟอร์ที่ได้เห็นรู้สึกทึ่งกับการกระทำดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง
“เคล็ดมีดสลัก!”
วีด กวัดแกว่งดาบของเขาเพื่อปัดป้องลูกศรบางดอกที่หลบไม่พ้น พร้อมทั้งพุ่งเข้าไปหาบอสแห่งบัสเราะห์
“บลิ้งง!”
อาร์ชดยุกแห่งบัสเราะห์เทเลพอร์ทไปยังด้านหลังในพริบตา ทว่าอกของเขายังคงปรากฎเห็นเป็นรอยแผลยาวอย่างชัดเจน
เคล็ดมีดสลักของวีดนับเป็นการจู่โจมโดยไม่คิดค่าป้องกันอย่างแท้จริง!
สำหรับ เนโครมานเซอร์ ที่ไม่ได้สวมชุดเกราะและมีพลังชีวิตที่ต่ำนั้น, การโจมตีแบบนี้จะอันตรายเป็นพิเศษ! ถ้าเพียงแค่บอสตัวนี้มันดูดเลือดได้ล่ะก็ มันก็คงแทบจะเป็นอมตะเหมือนกับลอร์ดโทริ  แต่มีเพียงมอนสเตอร์แค่ไม่กี่ตัวในเกมหรอกที่ทำแบบนั้นได้ , และโดยทั่วๆไปแล้วพวกผู้เล่นจะพยายามหลีกเลี่ยงมอนสเตอร์พวกนั้น
“ไอ้โง่!”
หลังจากถอยฉากออกมาจาก วีด ได้, บอสก็จะได้มีเวลาคิดทบทวนสถานการณ์จนได้ข้อสรุปว่า มันอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก
“เปล่าประโยชน์ที่จะสู้กับข้า!” – มันตะโกนออกมา – “ข้าได้ทำสัญญากับเทพแห่งความตาย! เจ้าอยากจะรู้มั้ยล่ะว่าทำไมไอ้พวก บริทิช*โง่ๆ พวกนั้นมันถึงไม่สามารถเอาชนะข้าได้? ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็น! พลังอำนาจแห่งความอมตะ! จงลุกขึ้นมา เหล่าทหารของข้า!”
(* T/N : หมายถึงพวกสมาชิกของสหพันธ์บริทิช)
พื้นดินที่พวกเขายืนอยู่เกิดการสั่นไหว และเหล่า สเกเลตัน ได้ปรากฎตัวออกมา! มีทั้งสเกเลตันดำ, แดง และขาว!
ในฐานะที่เป็นเนโครมานเซอร์ที่แท้จริง อาร์ชดยุกแห่งบัสเราะห์ ได้ใช้ไพ่ไม้ตายของเขาในการอัญเชิญ เมจ, นักรบ และ อาร์เชอร์สเกเลตัน มาช่วยรบ  น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในชัยชนะ:
“เหล่านักรับผู้กล้าแห่งบัสเราะห์ต่างถูกฝังอยู่ที่นี่! สถานที่นี้ถูกใช้เป็นที่ฝังศพมาหลายชั่วอายุคนแล้ว  ตั้งแต่เล็กข้าก็เคยมาที่นี่เพื่อฝึกฝนด้าน เนโครมานซ์  และตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นที่ฝังกายของเจ้า!ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
“เคล็ดมีดสลัก!”
การเคลื่อนไหวของวีดช้าลงไปมากเมื่อเขาต้องมากต่อสู้ท่ามกลางฝูงสเกเลตันที่ถูกอัญเชิญมาเช่นนี้  ตัวมอนสเตอร์พวกนี้เองนั้นไม่ได้มีอันตรายแต่อย่างใด แต่พวกมันทำให้การเคลื่อนไหวหลบหลีกการโจมตีของบอสเป็นไปด้วยความลำบากยิ่งขึ้นและนั่นเป็นสิ่งที่ วีด กังวลที่สุดเพราะการโจมตีด้วยเวทของอาร์ชดยุกแต่ละครั้งนั้นสามารถลดพลังชีวิตของวีดได้ถึงหนึ่งในสาม หรือ บางครั้งก็อาจจะถึงครึ่ง
“ตายซะ , เจ้ามนุษย์!”
สเกเลตันตนนึงเข้าจู่โจมวีดจากด้านหลังด้วยดาบที่ขึ้นสนิม  การโจมตีนั้นเข้าเป้าเต็มๆ แต่มันแทบจะไม่สร้างความเสียหายใดๆขึ้นมาเลย เพราะ วีด ได้ทำการขัดชุดเกราะของมาเป็นอย่างดีก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้น
แต่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป
“เลเวลประมาณ 220…”
วีด เริ่มที่จะคิด
ต้องขอบคุณประสบการณ์อันโชกโชนของเขาในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่ทำให้เขาสามารถประเมินเลเวลของศัตรูได้อย่างแม่นยำจากการโดนโจมตีเพียงครั้งเดียว
มอนสเตอร์เลเวล 220 ไม่เป็นอันตรายเท่าไหร่ …
แต่ปัญหาก็คือเจ้าบอสนั่นมันอัญเชิญสเกเลตันออกมาได้ไม่จำกัดนี่น่ะสิ  และพวกมันก็เกะกะขวางทางการเคลื่อนไหวของวีดเป็นอย่างมาก ในขณะที่ผลของบัฟจะอยู่ได้เพียง 20 นาทีเท่านั้น
และเมื่อผลของมันสิ้นสุดลงเมื่อไหร่, การต่อสู้ก็จะยิ่งยากขึ้นเป็นทวีคูณ  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเขาไม่มีเวลาที่จะต่อสู้ยืดเยื้อ
“ชั้นต้องกำจัดอันเดธพวกนี้ … จริงสิ, ชั้นรู้แล้ว! ต้องเอาไฟไปสู้กับไฟ (Fight fire with fire)!”
วีดสวมหมวกอัศวินของเดธไนท์ที่เขาได้มาจากลาเวียสอยู่ตลอดเวลา
“อัญเชิญ สเกเลตัน!”
หมวกอัศวินนี้ช่วยให้วีดอัญเชิญอันเดธเลเวล 50 มาได้  ส่วนจำนวนที่แน่นอนและการเชื่อฟังนั้นขึ้นอยู่กับค่าความเป็นผู้นำของผู้อัญเชิญ
มีเหล่าสเกเลตันผุดขึ้นมาจากพื้นดินเพิ่มขึ้นไปอีก พวกมันมีจำนวนมากกว่า 200, ทุกตัวต่างคุกเข่าลงและรอคำสั่งจากมาสเตอร์ของพวกมัน
“จงต่อสู้! จัดการไอ้พวกที่มันเกะกะขวางทางข้า!”
กองทัพสเกเลตันทั้งสองฝั่งต่างเข้าห้ำหั่นกัน  มันเป็นเรื่องยากที่แยกแยะว่าฝั่งไหนเป็นมิตรฝั่งไหนเป็นศัตรูในการต่อสู้ครั้งนี้
“เหล่าบริวารของเทพแห่งความตายเอ๋ย, ด้วยอำนาจที่ได้รับมาข้าขอสั่งเจ้า: จงเชื่อฟังข้า!” – อาร์ชดยุกตะโกนออกมา
“เจ้าไม่ใช่ผู้ที่อัญเชิญพวกเรามา” – เสียงตอบดังมาจากทั่วทุกทิศทางในสนามรบ
“เจ้า, ไอ้โง่เอ้ย …”
พวกสเกเลตันที่วีดเรียกมานั้นอ่อนแอกว่าที่เนโครมานเซอร์เรียกออกมามาก  พวกมันตายลงไปอย่างรวดเร็วและไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่ศัตรูเลยแม้แต่น้อย  แต่พวกมันก็บรรลุหน้าที่ของพวกมันในการดึงดูดความสนใจของกองกำลังสเกเลตันของฝ่ายศัตรูทำให้วีดสามารถหลบหลีกได้ง่ายขึ้น
“ทริปเปิ้ล! แบคสแตป!” (T/N ชื่อกระบวนท่าในเพลงดาบจักรพรรดินีรลักษณ์)
วีดเริ่มจู่โจมใส่บอสที่ไม่มีมานาเหลืออยู่อีกแล้ว  อาร์ชดยุกนั้นเคยใช้การหายตัวหลบการโจมตีของวีดได้แต่ตอนนี้ข้อได้เปรียบอันนั้นของมันไม่เหลืออยู่แล้ว*  ทางด้าน ฮวารยอง, เซเฟอร์ และ  แวนซึ่งจัดการพวกไนท์ที่เพิ่งรู้สึกตัวขึ้นได้ในที่สุดก็ได้รีบเข้ามาช่วยเหลือวีด
(T/N บอสใช้ท่าหายตัวไม่ได้เพราะมานาหมด)
ทั้งปาร์ตี้ช่วยกับไล่ต้อนบอสที่ไม่มีทางสู้  และสองนาทีถัดมามันก็พ่ายแพ้ต่อการโจมตีอันรุนแรงจากคู่ต่อสู้ของมันและได้เสียชีวิตลง
ตริ้ง!
- ความอดทน +1
- จิตวิญญาณนักสู้ +1
- เลเวลเพิ่มขึ้น
วีดเคยต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่เลเวลเกินกว่า 290 มาก่อน, ดังนั้นเขาจึงได้ขึ้นเลเวลเพียงเลเวลเดียวจากชัยชนะครั้งนี้  แน่นอนว่าบอสตัวนี้แข็งแกร่งกว่าพวกแวมไพร์  แต่มันก็ยังอ่อนแอกว่า ลอร์ด โทริ เป็นอย่างมาก …
“ว้าว! เยี่ยมที่สุด! เราชนะแล้ว!”
เซเฟอร์ และ ฮวารยอง ฉลองกับชัยชนะที่พวกเขาได้มาและเดินเข้าหาวีด  แต่สีหน้าครุ่นคิดอย่างจดจ่อของวีด ทำให้พวกเขาหยุดลง
“อืม  ชั้นยังเหลือพลังชีวิตอีก 3.5% เหรอเนี่ย  ชั้นว่าชั้นก็ดูมันดีแล้วน้า …”
“…”
“งั้น, พวกเราก็มาล่ากันต่อเถอะ”
“…”


เล่มที่ 4 ตอนที่ 9 : จบ

*****************************



<a href='https://ads.dek-d.com/adserver/adclick.php?n=a6753880' target='_blank'><img src='https://ads.dek-d.com/adserver/adview.php?what=zone:696&amp;n=a6753880' border='0' alt=''></a>

3 ความคิดเห็น: